5 ข่าวฮิตแห่งวีก’ การเมืองร้อนรับปีใหม่ เมื่อ “บิ๊กตู่” เพิ่งรู้ตัวเองเป็นนักการเมือง

สวัสดีปีใหม่ ..

ผ่านพ้นวันหยุดยาวกันมาแล้ว หลายคนก็คงได้ออกไปพักผ่อน ชาร์ตแบตให้กับชีวิตให้มีพลังสู้กับเรื่องราวในปีใหม่นี้แต่ใช่ว่าหยุดยาวแล้วข่าวคราวต่างๆจะหยุดไปด้วย เปิดมาปีใหม่นี้ผู้อ่านก็ยังคงได้เสพข่าวที่ฮือฮาๆ กันหลากหลายเรื่อง

โดยเฉพาะ “ข่าวการเมือง” ที่ร้อนแรงต่อเนื่องข้ามปีใหม่

“มติชนออนไลน์” จึงได้รวบรวมข่าวที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์นี้ ให้ได้ผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้

Advertisement

ฮิตที่ 1 เมื่อ “บิ๊กตู่” เพิ่งรู้ว่า ตัวเองเป็น “นักการเมือง”

“วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”

ชัดๆรับปีใหม่ 2561 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งรู้ตัวเอง ประกาศยอมรับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นบริหารประเทศจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจว่า ตนเองเป็นนักการเมืองหลังปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดเกือบ 4 ปีที่ประจำการอยู่ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ไม่เพียงเท่านั้น วันรุ่นขึ้น ในงานเลี้ยงปีใหม่กับกระจอกข่าวทำเนียบฯ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเปิดใจด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ ตามที่ได้สัญญากับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ไว้ เมื่อถูกถามถึงโอกาสในการเข้ามาเป็น “นายกฯคนนอก” โดยระบุว่า

“สื่อย่อมรู้คำตอบดีว่า พูดไปก็จะเป็นการตัดทาง เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกก็ถือว่า ตามระบบ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ หากพรรคการเมืองไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรี กันเองได้ในสภา รัฐธรรมนูญก็เปิดช่องทางให้เสนอนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ เพื่อเป็นการตัดเรื่องการปฎิวัติ ต่อไปนี้จะไม่มีการปฎิวัติแล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีคนนอกก็เลือกกันในรัฐสภา แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอตนเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก”

สองคำให้สัมภาษณ์ของ “บิ๊กตู่” รับศักราชใหม่นี่เอง จึงเป็นที่มาของการเมืองร้อนๆรับปีใหม่ที่บรรดาพรรคการเมืองต่างออกมาสามัคคีชุมนุมมองปรากฎการณ์นี้ว่า เป็นการเปิดตัวออกแขกลงสนามการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ชัดเจนเป็นอย่างมากๆ และยังเป็นคำพูดอันสอดรับกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่เดินสายออกไปพบ “มุ้งการเมือง” ต่างๆ

โดยเฉพาะ เส้นทางการเมืองตามช่องทาง “คนนอก” ที่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่อ้าแขนรอไว้ล่วงหน้า

แต่คำถามอยู่ที่ “บิ๊กตู่” จะตกลงยินยอมให้พรรคการเมืองใดจัดชื่อเข้าใส่ไว้ในบัญชี 3 รายชื่ออันเป็นแคนดิเดตของพรรคการเมืองนั้นๆก่อนการเลือกตั้งไว้ที่พรรคการเมืองชื่ออะไร จะเป็น “พรรคทหาร” ตามที่ลือๆกัน หรือพรรคที่บรรดา “ห้อยโหน” หาเสียงทำคะแนนไว้ให้ล่วงหน้าอย่างที่เป็นข่าวครึกโคม

ต้องเฝ้าจับตาดูต่อไป

——–

ฮิตที่ 2  อ.จุฬาฯ เตือนรบ.ระวังเจอวิกฤตจากคำมั่นสัญญา

ต่อเนื่องจากฮิตแรก เป็นการวิเคราะห์ทิศทางการเมืองไทยปี 2561 ของนักวิชาการชื่อดัง “สุรชาติ บำรุงสุข” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เนื้อหาการวิเคราะห์น่าสดับรับฟังเป็นอย่างยิ่ง โดยชี้ 5 วิกฤตอันเป็น “คลื่นลม” ที่จะพัดกระหน่ำเข้าใส่รัฐนาวาทหารตลอดปีใหม่ 2561 จึงขอคัดเนื้อหาบางส่วนมานำเสนออีกครั้ง

“…รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่กับ ‘วิกฤตศรัทธา’ ที่เป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สุด โดยมีทั้งนาฬิกาและแหวนเพชรเป็นจุดเรื่มต้นที่จะนำไปสู่อีกหนึ่งวิกฤต นั่นคือ ‘วิกฤตธรรมาภิบาล’ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตอบสังคมได้ชัดเจนว่า โอกาสในการตรวจสอบควบคุมรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนั้น แทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้…”

นอกจากนี้ มองว่า รัฐบาลจะต้องเจอกับ “วิกฤตตัวเลข” เนื่องจากเชื่อมั่นในตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจตัวเลขจีดีพีบนกระดาษที่อยู่ในระดับสูง แต่กำลังซื้อของชนชั้นกลางหรือระดับล่างลงไปกลับลดต่ำลงแทบไม่มี คนไม่เชื่อ และจะสร้างปรากฏการณ์ที่ อ.สุรชาติ เรียกว่า “โตยอดหญ้าตายรากหญ้า”

เพราะ ตัวเลขบนกระดาษเป็นสิ่งที่สวนทางกับสตางค์ที่มีอยู่จริงในกระเป๋าของพี่น้องประชาชน

ขณะที่ ‘วิกฤตจากรัฐธรรมนูญ’ ก็เป็นอีก 1 คลื่นลมแรง อันเนื่องมาจากเนื้อหาที่บังคับใช้แต่กลับไม่ใช้จริง

โดยเฉพาะ การนำมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่รับรองอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ออกมาเป็นคำสั่งเพื่อการขยายบทบาทของทหารในภาวะสันติ จากคำสั่งคสช.ที่ 51 /2560 ด้วยการทำให้ “กอ.รมน.” เป็นซูเปอร์กระทรวงคุมทุกกระทรวงรวมทั้งคุมสมช.ซึ่งทำหน้าที่คุมระบบความมั่นคงทั้งหมดของประเทศด้วย

จาก 4 วิกฤตข้างต้น จะนำไปสู่คลื่นลมขนานใหญ่ที่รัฐบาลต้องเผชิญ นั่นคือ “วิกฤตจากคำมั่นสัญญา” อันเป็นวิกฤตที่ 5  

โดยเฉพาะ “โรดแมปสู่การเลือกตั้ง” ที่สัญญาไว้ถึง 3 ครั้ง ล่าสุดที่กรุงวอชิงตัน ที่ประกาศว่า การเลือกตั้งจะอยู่ที่ปลายปี 2561 ซึ่งสำหรับ อ.สุรชาติ มองว่า ผู้นำไทยมีสิทธิบิดพลิ้วคำสัญญาเป็นครั้งที่ 3 ด้วย และหากเป็นจริงจะเป็นความอันตราย จะทำให้ไม่มีความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ จะส่งผลต่อภาพลักษณ์เวทีเศรษฐกิจและการลงทุนด้วย

ป็น “วิกฤตศรัทธา” ถึง “วิกฤตคำมั่นสัญญา” ที่ อ.สุรชาติ วิเคราะห์ได้อย่างน่าเร้าใจ

—————

ฮิตที่ 3 และแล้วบางแก้วก็ฟีเวอร์ เมื่อนายกฯควัก 25000 ซื้อลูกหมา ให้รองนายกฯ

ส่วนเรื่องนี้ก็ดูเข้าแก็บข้ามปีที่ยังเกี่ยวข้องกับ “บิ๊กตู่” อีกเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อนายกฯ นำครม.สัญจรไปประชุมที่พิษณุโลกและสุโขทัย เมื่อช่วงคริสต์มาส 25-26 ธ.ค. 2560 จังหวะพอดิบพอดีตอนไปลงพื้นที่ประชารัฐรักสามัคคี พิษณุโลก ก็ไปสนอกสนใจสุนัขบางแก้วเข้าให้ ซื้อกลับมาเลย 3 ตัวเน้นๆ นำไปเลี้ยงเอง 1 ตัว ไม่พอ ยังซื้อมาเตรียมมอบให้ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ อีกคนละตัว

ประเด็นก็คือลูกสุนัขบางแก้วใช่ว่าจะซื้อตุ๊กตาบางแก้ว ราคาก็ต้องไม่ธรรมดา สนนราคาตัวละ 6,000 บาท แต่นายกฯให้ไปเลย 25,000 บาท เป็นขวัญและกำลังใจ ประมาณเงินขวัญถุง เมื่อสื่อเป็นพยาน งานนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถือ ฤกษ์ปีหมา ยื่นร้องหมา 3 ตัวต่อป.ป.ช.ทันทีว่า นี่มันผิดมาตรา 103 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต 2542 และระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการให้ของขวัญของเจ้าหน้าที่รัฐ 2544 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รับทรัพย์สินเกิน 3000 บาท

หากนึกภาพไม่ออก ให้คิดถึงนาฬิกาหรูบิ๊กป้อมเอาไว้ เข้าข่ายเดียวกันเด๊ะๆ

งานนี้ผู้รับของขวัญก็ออกมาบอกปัดว่ายังไม่ได้รับ นายกฯก็ออกมาเบรกว่ายังไม่ได้รับสุนัข และก็พร้อมจะขายต่อหากมีผู้ต้องการ “ศรีสุวรรณ” เจ้าของคำร้องก็เลยรับสนองขอรับซื้อสุนัข 2 ตัวนั้นไว้เองในราคาชาวบ้าน ตัวละ 6,000 บาท แถมจะตั้งชื่อว่า “น้องปรองดอง” และ “น้องสมานฉันท์” กันไปเลย ย้ำด้วยว่าถ้าไม่ขายก็จะแจ้งป.ป.ช.ตรวจสอบอีก ว่าสุดท้ายไปอยู่กับใคร

แต่เหมือนน้องบางแก้วจะฮอตฮิตมากกว่านั้น เมื่อมีคนขอเสนอซื้อแล้วก็มาอีกเรื่อยๆ ทั้งอดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ จุติ ไกรฤกษ์ ก็ขอร่วมซื้อหลังสุนัขเพิ่งตายทั้งคอก ไปจนถึง วิษณุ เครืองาม ที่กระโดดมาแจมว่า ถ้าคนนั้นไม่เอา คนนี้ไม่เอา เดี๋ยวจะรับไว้เอง และก็มีวิธีเอาโดยไม่ผิดกฎหมายด้วย แต่เปิดเผยไม่ได้ ตอนนี้ที่บ้านก็เลี้ยงคอร์กี้อยู่ 1 ตัว

ส่วนตอนนี้ดราม่าเรื่องหมาๆ ปีหมาก็ยังคงสรุปไม่ได้ ว่าบางแก้วทั้ง 3 ตัวตอนนี้อยู่ที่ใด มีเพียงปศุสัตว์ที่ฉีดวัคซีนรอ แถมตรวจสุขภาพพร้อม แต่ที่น่าสนใจก็คือ พิษของขวัญ 3000 บาทที่โดนเล่นงานกันถ้วนหน้า ก็ทำให้วิษณุออกมาสัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ ว่าป.ป.ช.เองกำลังชงแก้ไขประกาศ เพราะวงเงินนี้มันกำหนดตั้งแต่ปี 2542 แล้ว ท่านรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็เลยออกมาจวกทันที ว่าที่ผ่านมาจากประสบการณ์ก็ไม่เคยให้ใครเกิน 3000 นักการเมืองประเทศอื่นก็ไม่ให้รับเลย ปฏิเสธงานเลี้ยงอีก

ทิ้งท้ายไว้ว่า หากยิ่งรับก็สวนทางกับการปฏิรูป ถ้าจะปฏิรูปจริงก็ไม่ควรรับ!!

———–

ฮิตที่ 4 ภาพมันฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” โผล่ช้อปปิ้งลอนดอน

หลังจากมีภาพปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกไปช้อปปิ้งกับน้องไปป์ ที่ห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่ง ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่ายิ่งลักษณ์ได้เดินทางไปดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และยื่นขอลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศก็ออกมาเปิดเผยว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งล่าสุด มีภาพแชร์กันว่อนไลน์ เมื่อมีสาวไทยเข้าไปขอถ่ายภาพปู – ยิ่งลักษณ์ ขณะเดินอยู่ในกรุงลอนดอน ในช่วงปีใหม่ ผู้สื่อข่าวยังระบุด้วยว่ามีคนเข้าไปขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง

เรื่องนี้ทำเอาทางการไทยต้องออกโรงแจงทันที เมื่อภาพชัดแจ้ง โดยพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ด้านความมั่นคง ออกมากล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นรูปจริงแท้แน่นอน ตอนนี้ให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง และกองการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว โดยนายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้สั่งการให้ตรวจสอบ และยังเปิดเผยด้วยว่าเมื่อสิ้นปี ก็ได้สอบถามตำรวจสากลถึงถิ่นพำนักของยิ่งลักษณ์ โดยได้ถามเป็นระยะ และรายงานตนเป็นประจำทุก 5-7 วัน แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ทั้งยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องขอลี้ภัยอีกด้วย

แต่ใช่ว่าเรื่องนี้ทางการอังกฤษจะไม่ให้ความร่วมมือ แต่เพราะยิ่งลักษณ์เป็นบุคคลสำคัญ จึงต้องให้ข้อมูลแม่นยำเสียก่อน

แต่แม้ทางตำรวจจะออกมาเคลื่อนไหวประเด็นดังกล่าว แต่บิ๊กตู่ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่วันนี้ได้ไปร่วมประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่กระทรวงยุติธรรม ก็ส่ายหน้า ปัดตอบประเด็นดังกล่าวเมื่อนักข่าวถามว่าได้เห็นภาพอดีตนายกฯแล้วหรือยัง

———–

ฮิตที่ 5 ยิงปืนแม็กเดียว (เสก โลโซ) ได้นอนคุกข้ามปี

เป็นเรื่องดราม่าข้ามปีของจริง สำหรับคดีของ เสก โลโซ หรือ เสกสรรค์ ศุขพิมาย ร็อกเกอร์คนดัง (อดีต หรืออาจจะปัจจุบัน) ขวัญใจคนไทย ที่จากเรื่องที่คิดว่าขำๆ ก็ทำเอาต้องถูกจองจำในคืนข้ามปี เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2560 เมื่อพี่เสกนึกคึกยิงปืนขึ้นฟ้าจนหมดแม็ก ที่วัดเขาขุนพนม จ.นครศรีธรรมราช อ้างว่า หลังแสดงคอนเสิร์ตงานวันสมเด็จพระเจ้าตากสิน ไม่พอ ร็อกเกอร์ดังยังไลฟ์สด เป็นหลักฐานมัดตัวเองเข้าไปอีก

ดราม่าก็เลยบังเกิดทันทีทันควัน

เมื่อโซเชียลออกมาเคลื่อนไหวถึงอันตรายที่พี่แกอาจจะไม่คาดคิด เสกจึงงัดไม้ตายเปิดแชทกับเจ้าอาวาสวัด ว่าที่ยิงไปนั้นเป็นการยิงสลุตถวายพระเจ้าตาก ลั่นจบได้แล้ว แถมยังจิกกัดเล็กๆ ว่าทีทำความดี เอาของไปแจกช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อยไม่เห็นใครจะสนใจ จนกระทั่งสภ.พรหมศรี ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุมัติหมายจับเสก โลโซ ในข้อหามีอาวุธปืน และยิงปืนในที่สาธารณะขึ้นมา นำมาสู่การจับกุมร็อกเกอร์ดังที่บ้านพักส่วนตัวในวันที่ 31 ธันวาคม งานนี้ใช่ว่าพี่แกจะยอมง่ายๆ เปิดไลฟ์สดคุยกับประตู เอ้ย เจรจากับคุณตำรวจถึงความเก่า ถามซ้ำๆถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อน พร้อมบอกว่าตนมีปืน!! แน่นอนว่างานนี้ไลฟ์สดต้องมาอีกตามเคย กินเวลาไปเนิ่นนาน จนผบ.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ก่อนหน้านี้ออกมาพูดชัดแล้วว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป จับอย่างเดียวไม่รับมอบตัว นำทีมตำรวจและหน่วยอรินทราชอาวุธครบมือ บุกจับล็อกกุญแจมือนำไปสอบปากคำแบบรวดเดียวจบ

ซึ่งก็ไม่เกินความคาดหมายของใครหลายคน เมื่อผลการตรวจปัสสาวะของเสกพบฉี่ม่วง ที่เสกโลโซ ก็อ้างว่าทานยา และเรื่องราวยังคงไม่จบเพียงเท่านั้น เสกประเดิมวันใหม่วันแรกของปี 2561 ด้วยการขึ้นศาลจังหวัดมีนบุรี ในความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมฝากขังศาลมีนบุรีผัดแรก แม้ว่าจะให้ประกันตัวแต่เจ้าหน้าที่ตร.สภ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ก็เข้าอายัดตัวในทันที นำตัวไปดำเนินคดีต่ออย่างไม่ต้องหยุดพักหายใจ แต่ร็อกเกอร์ก็ยังไม่มีท่าทีเคร่งเครียด ยังยิ้มทักทายสื่อแบบชิลๆ เช่นเดียวกันเมื่อหลักฐานมันชัด ทำให้ดิ้นไม่หลุด 3 ข้อหา โดยเสกถูกคุมตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนจะได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา ซึ่งท้ายที่สุดผลการตรวจปัสสาวะยังพบสารแอมเฟตามีนอยู่อีกด้วย

ความพีคขั้นต่อไปบังเกิดในเฟซบุ๊กแฟนเพจของเสก โลโซอีกครั้ง หากแฟนๆคนใดได้ติดตามก็คงเห็นว่าขณะที่ถูกคุมตัวอยู่นั้น ทีมแอดมินก็โพสต์เยอะโพสต์ถี่ เมื่อได้เป็นอิสระพี่เสกจึงใจสั่งมาขออัพข่าวขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลืออย่างถี่ยิบ เรื่องของเรื่องคือเสกดันโพสต์ภาพกับตำรวจสภ.คันนายาว และสภ.เมืองนครศรีธรรมราช ที่นั่งดื่มกับเสกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากได้รับการปล่อยตัว ซึ่งเป็นภาพอันดูแล้วไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไหร่ ทำให้ถูกสั่งสอบ จนกระทั่งตำรวจถูกสั่งย้ายในที่สุด ทั้งยังมีหนังสือด่วนจากผบ.ตร.ห้ามผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อใดๆอีก รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังกิริยาในอาการที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าใกล้ชิดได้

กลายเป็นว่าปืน 9 นัดที่ยิงขึ้นฟ้า ส่งผลกระทบไปไกลเกินกว่านครศรีธรรมราชซะแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image