“บิ๊กป้อม” ถกปรองดอง เน้นสลายสีเสื้อ- ไม่แบ่งพรรคพวก หวังอยู่ร่วมกันสันติ ลั่นไม่เกี่ยวเลือกตั้ง

“บิ๊กป้อม” ถกปรองดอง เน้นสลายสีเสื้อ- ไม่แบ่งพรรคพวก หวังอยู่ร่วมกันสันติ ลั่นไม่เกี่ยวเลือกตั้ง ด้านโฆษก แจง แผนดำเนินการ3 ขั้น เล็งนำสัญญาประชาคม ผนวก เข้าแผนขับเคลื่อนกระทรวง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มกราคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้นเวลา 11.15 น. พล.อ.ประวิตร แถลงว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเรื่องการปฏิบัติว่าภายใน 1 ปีนี้ว่าจะสร้างความปรองดองให้กับประชาชนได้อย่างไร เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ซึ่งเราจะพยายามไม่ให้เกิดการแบ่งสีแบ่งพวก ด้วยการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทุกคนทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม จากนั้นจะกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติว่าส่วนราชการใดจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อีกทั้งขอยืนยันว่าการสร้างความปรองดองไม่ได้เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่เป็นการทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นมาอีกเหมือนเช่นอดีต ขณะที่การเลือกตั้งก็เป็นเรื่องของการเลือกตั้งดังนั้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า จากการดำเนินการการสร้างความปรองดองใน1ปีที่ผ่านมา เราดำเนินการมาตลอดโดยจะสร้างความรับรู้เกี่ยวกับสัญญาประชาคมให้กับประชาชนได้รับทราบ 15ข้อในทุกพื้นที่และทุกกลุ่มในประเทศ ส่วนแกนนำพรรคการเมืองนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของการเมือง ดังนั้นขอร้องอย่านำไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเลือกตั้งเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ซึ่งการสร้างความรับรู้ต้องทำให้ประชาชนมีความเข้าใจว่าจะทำอย่างไรให้อยู่ด้วยกันอย่างสันติโดยที่ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง

Advertisement

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองได้อย่างไร ในเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ประกาศชัดเจนว่าเป็นนักการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี แต่ตนดำเนินการเรื่องสร้างความสามัคคีปรองดอง จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของนายกฯ ดังนั้นการที่นายกฯประกาศเป็นนักการเมืองจะไม่ส่งผลต่อการสร้างความสามัคคีปรองดอง

“1 ปีที่เราทำเรื่องปรองดอง ได้สร้างความรับรู้และในปีนี้เราก็ต้องทำตามนั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการในการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพราะประชาชนยังรับรู้ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราต้องสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้นจากพื้นฐานการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและต้องไม่มีการแบ่งแบ่งพวกแบ่งสีแบ่งข้าง” พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามอีกว่าหากความปรองดองไม่สำเร็จและจะทำอย่างไรต่อไป พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำสำเร็จอยู่แล้วเพราะตอนนี้ประเทศมีความสงบและสันติ เราต้องทำให้ประชาชนรับรู้และรับทราบ แต่จะไปบังคับเขาไม่ได้

Advertisement

พล.ท.คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ แถลงผลการประชุม ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแผนเดินหน้าปรองดองสู่ความรู้รักสามัคคี เน้นที่ประชาชนที่จะบูรณาการทำงานร่วมกัน ระหว่างส่วนราชการในการสร้างความรับรู้ และความเข้าใจอยู่ร่วมกันของประชาชน ร่วมสร้างบรรยากาศความรักความสามัคคีพร้อมกัน

โดยกำหนดเป้าหมายที่จะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขเป็นรูปธรรม ยึดมั่นกรอบกฎหมาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคมตามยุทธศาสตร์ชาติ

พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯได้กำหนดเป็น 3 ขั้นตอน 1.การบูรณาการการรับรู้ 2. การดำรงความต่อเนื่องในเรื่องของการสร้างความรับรู้และ 3. การขยายผลและประเมินผลโดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่มกราคม 2561 ถึงกันยายน 2561 ซึ่งการทำงานจะลงไปในระดับพื้นที่ เช่นกระทรวงมหาดไทย จะจัดชุดวิทยากร ลงไปให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาประชาคม ควบคู่กับความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะใช้กลไกของ กอ.รมน. ในการขับเคลื่อนระดับจังหวัด เพื่อสร้างความรับรู้และการสร้างความมีส่วนร่วมโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการแผนงาน

พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า นอกจากนี้จะนำสาระในสัญญาประชาคมที่เกี่ยวข้อง สอดแทรกแผนงานของแต่ละกระทรวง ร่วมขับเคลื่อนทั้งในปี 2561 รวมถึงกิจกรรมต่างๆเพื่อการมีส่วนร่วม สำหรับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่เกิดจากความเดือดร้อนของประชาชนในแต่ละภูมิภาค ซึ่งทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องจะบรรจุเข้าไปอยู่ในแผนงานเพื่อบริหารการจัดความขัดแย้งในการบริหารความเหลื่อมล้ำของในแต่ละพื้นที่

“ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ แต่จะต้องอยู่ในวิถีทางประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภา และยอมรับด้วยกติกาเสียงข้างมากในสภา ซึ่งบทเรียนการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมา ที่ไม่มียอมรับกติกา มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงทุจริต หรือใช้วาทกรรมมีการสร้างความโกรธเกลียด ปลุกเร้าประชาชน จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผมจึงเชื่อมั่นว่าประชาชนยอมรับไม่ได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจะต้องให้ความร่วมมือหรือปรับความเคยชินหรือลดทอนอำนาจส่วนตนและยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากขึ้น พร้อมทั้งย้ำว่าแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางในการที่จะลดความขัดแย้งและไม่ไปสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง” พล.ท.คงชีพ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image