หลังคำว่า ‘กองหนุน’ หลุดมาจาก 2 เรียวปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อเช้าวันที่ 28 ธันวาคม
สถานการณ์ ‘การเมือง’ ก็เข้าสู่อีก ‘มิติ’
เป็น ‘มิติ’ อันถือว่าเป็นการส่งสัญญาณ ‘เตือน’ อย่างตรงไป ตรงมา ไม่อ้อมค้อม วกวน
เพราะพูดต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะพูดโดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยืนเรียงอยู่เคียงข้าง
มิได้เป็นการทำลับหลังเหมือนกับเมื่อปล่อยคำ ‘จ๊อกกี้’ ขึ้นมา
เป็นการพูดในบรรยากาศภายหลังปรับ ครม. ‘ประยุทธ์ 5’ ไม่นาน เป็นการพูดในบรรยากาศที่ ‘นาฬิกา’ หรูเริ่มทะยอยมาให้เห็น
จากนั้นบรรดา ‘กองหนุน’ ก็เริ่ม ‘เผยแสดง’
มีความพยายามจะแปร ‘วิกฤต’ ให้เป็น ‘โอกาส’ โดยการตีความคำว่า ‘กองหนุน’ ไปในทำนองว่าเป็นการเชียร์
นั่นก็คือ เป็นการส่ง ‘ส.ค.ส.’ ในเทศกาล ‘ปีใหม่’
แต่หากสังเกตเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็น นายจุติ ไกรฤกษ์ และโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง นายสาธิต ปิตุเดชะ
แสดงออกอย่างเด่นชัดว่า ไม่ยอมเป็น ‘กองหนุน’ ให้กับ ‘คสช.’ อีกต่อไปแล้ว
จากนั้น ปลายหอกก็พุ่งเข้าใส่ ‘นาฬิกา’ หรู
จากนั้น รอยร้าวภายใน สนช.ก็เริ่มปรากฏต่อการบิดเบือนร่าง พรป.ว่าด้วย ป.ป.ช.อันหมายจะต่ออายุคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ
ก่อความหงุดหงิดให้กับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นอย่างสูง
นับวันปฏิกิริยาซึ่งสะท้อนการแยกตัวของ ‘กองหนุน’ ยิ่งโผล่ขึ้นมารายแล้วรายเล่าปลายหอกพุ่งเข้าใส่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
สะท้อนให้เห็นเป้าหมายที่เคยแสดงออกตั้งแต่กรรมาธิการกิจการตำรวจของ สปช.เคยแผลงฤทธิ์ต้องการสร้าง ‘รอยร้าว’ ภายใน ‘คสช.’
ต้องการแยก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยืนยันรูปธรรม ‘กองหนุน’ ที่เหลือน้อยลงเป็นลำดับ
