นับวันการยื้อระหว่าง “คนอยากเลือกตั้ง” กับ “คสช.” และ “รัฐบาล” จะทวีความแหลมคมและมากด้วยความละเอียดอ่อน
พลันที่มีการยื่นเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
มองตามความเคยชินกับกระบวนการ “รัฐประหาร” นับแต่รัฐประหารเมื่อปี 2500 เป็นต้นมา
ที่ประกาศและคำสั่งมาจาก “รัฎฐาธิปัตย์”
การฝ่าฝืนต่อประกาศและคำสั่งอันมาจาก “คณะรัฐประหาร” ย่อมเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายโดยพื้นฐาน
แต่ความละเอียดอ่อนอยู่ตรง “รัฐธรรมนูญ”
ขณะเดียวกัน ความละเอียดอ่อนที่ทับทวีคูณเข้ามาก็คือ สถานการณ์ในยุคก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ยังไม่มี “ศาลรัฐธรรมนูญ”
ถามว่าความคิดในการยื่นต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเริ่มเกิดขึ้น จากสถานการณ์อะไร
ตอบได้เลยว่าจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560
อันเป็นคำสั่งที่ส่งผลอย่างลึกซึ้งให้นำไปสู่การแก้ไข พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และส่งผลอย่างลึกซึ้งนำไปสู่การยกร่าง พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ข้อเสนอนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาจากพรรคเพื่อไทย มาจากพรรคประชาธิปัตย์
จากนั้นก็เกิดข้อเสนอจากกลุ่ม Start Up People
เพราะว่าพวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558
และประเมินว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ไม่ว่าข้อเสนออันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าข้อเสนออันมาจากกลุ่ม Start Up People
เท่ากับ 1 ตรวจสอบความศักดิ์สิทธิ์ของ “รัฐธรรมนูญ”
ขณะเดียวกัน เท่ากับ 1 ตรวจสอบบทบาทและความหมายของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
ยิ่งกว่านั้น 1 ยังตรวจสอบ “สถานะ” ในทาง “กฎหมาย” ระหว่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กับ คำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 และคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 ว่าอันไหนจะมีศักดิ์เหนือกว่าใคร
คำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” คือ “คำตอบ”