‘บิ๊กตู่’ เชื่อสถานการณ์ใต้ดีขึ้น หลัง ‘โอไอซี’ลงพื้นที่ ยันฟังทุกฝ่าย

แฟ้มภาพ

เมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการลงพื้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขององค์การความร่วมมืออิสลาม(โอไอซี)ว่า คาดหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะเป็นการสร้างกำลังใจในเวทีประเทศอิสลามหรือโลกมุสลิมให้เข้าใจว่าการแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ได้แก้ไขเหมือนกับที่อื่นๆ มีวิธีการแตกต่างกันออกไปไม่ใช่รบกันทั้งเมือง ไม่ใช้อาวุธวิถีโค้งหรือเครื่องบินใหญ่โต แต่เป็นเรื่องในพื้นที่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลบ้าง เขตเมืองบ้าง โดยลักษณะการลอบทำร้าย อาจจะมีการบิดเบือนสร้างแนวร่วมในการทำที่คาดหวังว่าจะเกิดผลกับอุดมการณ์หรือทางการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ รัฐบาลใช้การบังคับใช้กฎหมายกับเรื่องการพัฒนาทุกอย่าง มีโครงการลงไปมากมาย มีงบประมาณลงไปพอสมควร สร้างเขตเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความสำคัญจัดเป็นพื้นที่พิเศษในการพัฒนาและการศึกษา เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ภาครัฐ ข้าราชการ ประชาชน องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) นักธุรกิจ ไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่มาคุยรับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน ในเวทีเดียวกันจะได้ไปสู่ข้อสรุปจะแก้ปัญหากันอย่างไรถึงจะแก้ได้ ที่ผ่านมารัฐบาลอยู่ตรงกลางฟังทีละข้างก็แก้อะไรไม่ได้ แก้ทีก็โดนซ้ายโดนขวา วันนี้รัฐบาลนี้ทำและประชุมหลายครั้งแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ต้องเห็นใจอีกเรื่องที่ทุกคนต้องการความอิสระเสรี ไม่ต้องการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอะไรเลย ไม่ต้องตรวจรถเพราะไม่สะดวก คนไม่เดือดร้อนก็บอกไม่สะดวก แต่คนที่เดือดร้อนก็บอกตายทุกวัน แล้วจะให้รัฐบาลทำอะไร ก็ต้องมีมาตรการตรวจค้น ตรวจสอบรถตั้งด่านตรวจจุดสกัด ซึ่งมันก็ไม่สะดวก แต่คนเดือดร้อนก็มีคนที่ไม่เดือดร้อนไม่อยู่ในพื้นที่เจอการตรวจด้วยก็ต้องยอมเห็นใจคนที่ตายเจ็บบ้าง ต้องสร้างสังคมอย่างนี้ขึ้นมาไม่ใช่ให้รัฐบาลทำอย่างเดียวทำไม่ได้หรอกเพราะรัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียวคือการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งใช้มากเกินไปกฎหมายก็เสียหายอีกเพราะมันใช้ไม่ได้ทุกคนไม่ร่วมมือ รัฐบาลก็ต้องใช้กฎหมายมุ่งเน้นตอบสนองเพื่อป้องกันความเสียหาย การบาดเจ็บสูญเสียของประชาชนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้กระบวนการที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนอลหม่านล้มเลิกไป มันสู้กันด้วยความคิดไม่ได้สู้กันด้วยกำลัง ทหารที่ลงไปจะเห็นได้ว่าเป็นเหยื่อทุกวันเพราะเปิดเผยตนเอง ไม่ได้ไปลาดตระเวนเข้าป่าเขาไปสู้กันในป่าเพราะสู้กันอยู่ในเมืองทั้งสิ้น มันเป็นคนละเรื่องกับการใช้ยุทธวิธีทางทหาร ซึ่งเป็นการป้องกันตัวเจ้าหน้าที่ ประชาชาชนผู้บริสุทธิ์โดยการเปิดเผยตัวตลอด เวลาใครจะมาลอบยิงทำร้ายต้องเห็นใจบ้าง ยิ่งมีการพูดไปพูดมาเจ้าหน้าที่ก็เสียกำลังใจหาว่าไปใช้งบประมาณสูง แต่เสี่ยงทุกวันเสี่ยงเพื่อใคร ดังนั้นเรื่องการแก้ปัญหาภาคใต้กรุณาคิดให้ถูกต้อง

“จะเอาอย่างต่างประเทศ ปิดพื้นที่กวาดล้างมันทั้งจังหวัดทั้งอำเภอ มันก็ไม่ได้อีก ทำอย่างนั้นจะบานปลายหรือเปล่า อยากจะรบอย่างเขาหรืออย่างไรที่เถียงกันทุกวันวิเคราะห์สถานการณ์กันไปเรื่อยเปื่อยบางทีไม่ได้มีหลักคิดอะไรที่มันถูกต้อง เอาตัวอย่างตรงนั้นตรงนี้มาต่อกันไปมาต้องทำแบบนี้แบบนั้น ไม่มีวิธีการเดียวที่จะแก้ปัญหาได้หรอก เรามีตั้ง 7- 8 ยุทธศาสตร์ โครงการพาคนกลับบ้านก็มี มาตรา 21 ก็มี ในการพิจารณาเรื่องกระบวนการยุติธรรมโดยระบบของศาลก็มีเพื่อเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้กลับเข้ามาพัฒนาบ้านเมือง นี่ทำทุกอย่างเลย ถ้าจะเอาตัวอย่างต่างประเทศบางประเทศกวาดล้างอย่างเดียวมันใช่ไหมล่ะ อย่างอื่นมันเสียหายเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพวกนี้ไหมเข้าใจผมตรงนี้หน่อย สถานศึกษาเป็นอย่างไร มีโรงเรียนกี่ประเภท แล้วหลักการทางศาสนามีปัญหาอะไรตรงไหนซึ่งไม่มีหรอก มีแต่คนไปสร้างให้มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง ทุกศาสนาดีหมด เราต้องไปเชื่อมต่อตรงนี้ให้ได้ ไม่ว่า ปอเนาะ ตาดีกาก็คนไทยทั้งนั้น ทำอย่างไรให้เขามาอยู่ในกรอบของกฎหมายและการใช้งบประมาณที่ถูกต้อง รัฐบาลก็ต้องดูแล ผมถือว่าหลายอย่างดีขึ้น แต่เรื่องบาดเจ็บสูญเสียยังมีอยู่เพราะคนเหล่านี้ยังมีอยู่ แล้วเจ้าหน้าที่ต้องเปิดเผยตัวเองตลอดเวลา แล้วเราก็กวาดล้างขนาดใหญ่ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่ามันรุนแรงมาจนเกินเหตุมันก็ต้องทำแล้วมันถึงเวลาหรือยัง ถ้าเป็นต่างประเทศเขาก็ปิดล้อมพื้นที่ เคอร์ฟิวทั้งหมด ห้ามคนเข้า-ออก ใช้กำลังเข้ากวาดล้างเอาไหมล่ะ อยากเห็นภาพนั้นหรือ คิดอะไรให้มีหลักการบ้าง” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) า ตนบอกแล้วว่าเดิมกอ.รมน.ดูเฉพาะภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์หรือความมั่นคงเป็นหลัก แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาพลเรือน ตำรวจ-ทหาร เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภัยพิบัติ จึงแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถเข้าไปแก้ปัญหาภัยพิบัติได้ ถ้ายังอยู่เหมือนเดิมเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสูญเสียต่างๆ จากการเข้าไปช่วยเรื่องภัยพิบัติ ครอบครัวก็เดือดร้อนเพียงแต่แก้ให้มีอำนาจตรงนี้ ไม่ได้แก้เพื่อการเมืองอะไรทั้งสิ้น กอ.รมน.เป็นกลไกเชื่อมโยงการทำงานระหว่างพลเรือน ตำรวจ-ทหาร เดิมมีกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43(พตท.43)แล้วยกเลิกสมัยไหนแล้วเกิดอะไรขึ้นจากการยกเลิกพตท.43 ไม่ย้อนกลับไปดูบทเรียนก็มีอยู่แล้ว มองแต่การเมืองอย่างเดียวจะไปได้อย่างไรประเทศไทย การเมืองไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ทุกอย่างมันล้มเหลวไม่ใช่หรือ ประชาธิปไตยการเมืองทำอย่างอื่นล้มเหลวไปทั้งหมดมันได้ไหมเล่า โอเคนะไม่ได้โมโหอะไรเลย ขอบคุณอากาศเย็นสบายดี

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image