‘เสกสรรค์’ ปาฐกถา ชี้ปัญหาและบทเรียน ฝ่ายก้าวหน้า-ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการเมืองไทย

แฟ้มภาพ

วันนี้ (9 มีนาคม) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักรัฐศาสตร์ชื่อดัง อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หัวข้อ ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย ช่วงหนึ่งระบุว่า

“ตลอด 10 กว่าปีมานี้บ้านเมืองของเราตกอยู่ในความขัดแย้งในระดับที่ไม่มีใครฟังใคร และความขัดแย้งทางความคิดก็นับเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราปรองดองกันได้ยาก เฉพาะหน้าเราอาจจะแบ่งชุดความคิดที่ขัดแย้งกันได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ แนวคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่ง กับแนวคิดของฝ่ายก้าวหน้าอีกกลุ่มหนึ่ง อันที่จริงการแบ่งกลุ่มความคิดเช่นนี้นับว่ากว้างมาก เพราะในแต่ละกลุ่มใหญ่ยังมีกิ่งก้านสาขามากมาย นอกจากนี้ยังมีระดับเข้มข้นหรือเจือจางแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นฝ่าย Conservative นั้นอาจจะรวมตั้งแต่พวกที่มีความคิดชาตินิยม รัฐนิยม และจารีตนิยมอย่างเป็นระบบ มาจนถึงพวกต่อต้านคอร์รัปชัน ถือศีลกินผัก เป็นอาสาสมัครในวันหยุด อะไรทำนองนี้ ส่วนฝ่าย Progressive ก็เช่นกัน มีตั้งแต่นักประชาธิปไตย นักเสรีนิยม นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่ม Feminist กลุ่มเรียกร้องสิทธิ LGBT มาจนถึงกลุ่มย่อยที่นิยมอนาธิปไตย” เสกสรรค์ ระบุ

เสกสรรค์ กล่าวต่อว่า พ้นจากนี้แล้วยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มีความคิดผสมผสานกันระหว่างอนุรักษนิยมกับก้าวหน้า ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติของคนทั่วไปที่มักมีทัศนะต่อเรื่องต่างๆ เป็นรายประเด็น ทว่าพูดหยาบๆ ก็คือ ประเทศไทยเรามีทั้งฝ่ายที่อยากรักษาสถานภาพเดิม (status quo) ซึ่งเห็นว่าโลกใหม่คือสังคมที่ปนเปื้อน ดังนั้นจึงควรกลับไปสู่โลกเก่าที่ถูกต้องดีงามกว่า กับฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกเพราะเห็นว่าความถูกต้องดีงามรออยู่ในอนาคต ในครรภ์แห่งปัจจุบันสมัย มีสังคมในฝันรอวันถือกำเนิด ในความเห็นของผม ลำพังความแตกต่างกันทางความคิดเช่นนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงอันใด ดังเราจะเห็นได้จากตัวอย่างในประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศเหล่านั้นก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายก้าวหน้า มีฝ่ายขวามีฝ่ายซ้าย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถอยู่ร่วมสังคมเดียวกันได้ ภายใต้กรอบกติกาเดียวกัน สังคมมนุษย์นั้นอยู่ในภาวะเลื่อนไหลแปรเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์ ความเร็วในการแปรเปลี่ยนยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นถ้าจะมีคนบางกลุ่มแลไปข้างหลังอย่างเสียดายบ้าง หรือมีคนอีกกลุ่มหนึ่งแลไปข้างหน้าอย่างวาดหวังบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แล้วทำไมในกรณีของประเทศไทย ความแตกต่างทางความคิดจึงนำไปสู่ความขัดแย้งขั้นแตกหักรุนแรง จนถึงกับต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองสลับไปมา?

อันนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนใจโดยตัวของมันเอง แต่เฉพาะหน้าไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมจะพูดถึง ผมเพียงขออนุญาตตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องการเมืองในบ้านเราไม่ใช่เรื่องความคิดเพียงอย่างเดียว หากเป็นความคิดที่ผูกโยงกับกลุ่มผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ทางอำนาจ และประเด็นเชิงโครงสร้างอื่นๆ อีกหลายประการ

Advertisement

เสกสรรค์ กล่าวต่อว่า สังคมไทยกลายเป็นพื้นที่ช่วงชิง (Contested Area) ระหว่างความคิดสองกระแส โดยฝ่ายอนุรักษนิยมมีปัญหาเรื่องกาละ ส่วนฝ่ายก้าวหน้ามีปัญหาเรื่องเทศะ และทั้งสองฝ่ายต่างพยายามที่จะปรับเปลี่ยนโลกของผู้อื่นให้ตรงกับความคิดของฝ่ายตน กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายก้าวหน้าต่างก็ต้องเหนื่อยกับการปลูกฝังความคิดของตนในสังคมไทยปัจจุบัน ฝ่ายหนึ่งต้องการนำความคิด ความเชื่อ และคุณค่าจากสมัยเก่ากลับมาอยู่ในกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พบว่าการนำแนวคิดจากโลกภายนอกมาไว้ในพื้นที่อันไม่ใช่เนื้อดินถิ่นกำเนิดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ทั้งสองฝ่ายแข่งกันบรรจุชุดความคิดฝ่ายตนลงไปใน space and time ของประเทศไทยปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่กดดันผู้คนในสังคมอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันสมัยของไทยก็มีทั้งภูมิลักษณ์และดินฟ้าอากาศของตัวเอง ซึ่งมิใช่กาลเทศะที่จะเกี่ยวร้อยความคิดทั้งสองชุดได้โดยอัตโนมัติ หรืออย่างน้อยไม่ใช่ทุกเรื่องทุกประเด็นพร้อมๆ กัน

และว่า “ความตึงเครียดดังกล่าวเห็นได้ชัดในระบบการศึกษา ซึ่งครูคนหนึ่งจะต้องสอนให้นักเรียนทั้งเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นพลเมืองดีในนิยามของรัฐ ไปพร้อมๆ กับเป็นนักประชาธิปไตยและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความอึดอัดทำนองนี้ปรากฏอยู่ในทุกวงการ ดังนั้นเราจึงมักเห็นสภาพที่ทั้งความคิดอนุรักษ์และความคิดก้าวหน้าถูกแรงเหวี่ยงของปัจจุบันสมัยปัดออกไปอย่างน้อยก็ชั่วคราว หรือเป็นระยะๆ ทั้งในวงแคบวงกว้าง สุดแท้แต่ว่าในห้วงยามไหน ใครทำตัวน่าเบื่อมากกว่า แน่นอน ในการแข่งขันช่วงชิง space and time ระหว่างความคิดหลักสองชุด ฝ่าย Conservative ค่อนข้างจะได้เปรียบ เพราะมีโครงสร้างอำนาจรัฐคอยค้ำจุน

เสกสรรค์ เห็นว่า ในด้านหนึ่ง รัฐไทย โดยผ่านระบบการศึกษา และเครื่องมือบังคับควบคุม สามารถผลิตซ้ำชุดความคิดอนุรักษ์ในรูปของอุดมการณ์แห่งรัฐ และสิ่งที่เรียกว่าอัตลักษณ์ของชาติได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ชนชั้นที่ใกล้ชิดอำนาจรัฐตลอดจนประชากรที่ชอบเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ ต่างก็คอยขานรับและขยายต่อในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ

Advertisement

“ด้วยเหตุดังนี้ ทั้งสองภาคส่วนจึงกลายเป็น reference ให้กันและกัน รัฐอ้างสังคมในการสร้างความชอบธรรมของอำนาจ สังคมส่วนที่ผมเอ่ยถึงก็อิงกรอบอุดมการณ์ของรัฐในการรักษาผลประโยชน์และปรุงแต่งสถานภาพ กระทั่งใช้มันมาเสริมขยายอัตตาของตน จินตนาการที่มีพลังที่สุดอย่างหนึ่งของฝ่ายอนุรักษนิยมในสังคมไทยคือแนวคิดเรื่อง ‘ความเป็นคนดี’ ซึ่งผูกโยงกับเรื่องศีลธรรม บุญบาป อย่างแยกไม่ออก ทว่าในขณะเดียวกันก็ตัดขาดจากประเด็นชนชั้นและกลุ่มผลประโยชน์ ตลอดจนโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมโดยส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ คือตามคติของฝ่ายนี้ดีชั่วไม่จำเป็นต้องมีมีบริบทห้อมล้อม ความเป็นคนดีเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลกับพลังทางศีลธรรมของเขาหรือเธอ คนไทยควรต้องเป็นคนดี สังคมไทยต้องเป็นสังคมของคนดี และที่สำคัญที่สุดคือผู้ปกครองประเทศไทยจะต้องเป็นคนดี” เสกสรรค์ กล่าว

พร้อมระบุต่อว่า ถามว่าทำไมความคิดดังกล่าวจึงมีพลังอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน ทั้งๆ ที่องค์ความรู้ต่างๆ ได้เติบใหญ่ขยายตัวไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ คำอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ที่เกี่ยวโยงกับเหตุปัจจัยต่างๆ ได้รับการค้นคว้าออกมามากมาย ทำไมไม่ดึงมาใช้พิจารณาสังคมบ้าง คำตอบง่ายๆ เบื้องต้นคือ ความดีเป็น concept ที่อยู่เหนือยุคสมัย นอกจากนี้ยังเป็นจินตภาพเชิงบวกที่กินความกว้างและคลุมเครือมาก จนกระทั่งแทบทุกคนสามารถพยักหน้าเห็นด้วย แต่ขณะเดียวกันความดีก็เป็นแนวคิดแบบทวิภาวะ (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า dualism) ที่ไหนมีความดีที่นั่นย่อมมีความไม่ดี ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถสมาทานความดีมาเสริมอัตตาได้โดยง่าย แค่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีก็รู้สึกมีฐานะเหนือกว่าคนไม่ดีแล้ว ด้วยเหตุดังนี้ ถ้าไม่ตั้งสติให้มั่น ผู้คนย่อมสามารถพลัดหลงอยู่ในวังวนของความดีได้

เสกสรรค์กล่าวถึงประเด็นทางการเมือง โดยระบุว่า ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งในการปกป้องระบอบอำนาจนิยมโดยเชิดชูความเป็นไทยคือการระบุว่าประชาธิปไตยเป็นแนวคิดของโลกตะวันตก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะหรือใช้การไม่ได้กับประเทศไทย เรื่องนี้ถ้าถ้าขับเคลื่อนกันจริงๆ ก็นับว่าอันตรายต่อความปรองดองในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากแนวคิดสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้นได้กลายเป็นคุณค่าสากลมานานแล้ว และมีคนไทยจำนวนมากที่มีศรัทธาในคุณค่าดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่ใช่คนไทยทั้งหมดก็ตาม

“แน่นอน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีคนไทยบางกลุ่มรังเกียจประชาธิปไตยก็เพราะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองบางคน กับปัญหาความแตกแยกระหว่างมวลชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองคนละพรรค เรื่องนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายจริง แต่จะว่าไประบอบประชาธิปไตยในโลกล้วนมีปัญหาไม่มากก็น้อยทั้งนั้น อันนี้เปรียบเทียบไปแล้วก็เหมือนปัญหาอันตรายบนท้องถนน เราคงไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีเลิกใช้รถยนต์แล้วกลับไปนั่งเกวียน พร้อมกับภูมิใจว่าเกวียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย มิใช่หรือ ในโลกที่เป็นอยู่การยอมรับคุณค่าสากล เช่น สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย ไม่ได้ขัดแย้งกับตัวตนความเป็นคนไทยโดยรวม แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังยึดติดกับแนวคิดอนุรักษนิยมในบางเรื่องบางราว คุณค่าเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนไทยน้อยลง อันที่จริงมันจะยิ่งส่งเสริมให้ประเทศเรามีฐานะและศักดิ์ศรีน่าภูมิใจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ” เสกสรรค์ กล่าว

และว่า “มาถึงวันนี้ประเทศไทยมีเอกภาพของดินแดน และมี National Integration ในระดับที่เพียงพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะนิยามความเป็นไทยให้คับแคบอยู่แค่เชื่อฟังรัฐหรือเน้นแต่ปัญหาความมั่นคง จนกลัวการแตกแยกมากเกินไป ฝันร้ายของรัฐไทย ไม่ว่าจะมาจากยุคล่าอาณานิคมหรือยุคสงครามเย็น ควรจะถูกลืมได้แล้ว ถ้าทุกวันนี้รัฐไทยสามารถผูกมิตรตีสนิทกับศัตรูเก่าอย่างจีน หรือเวียดนามได้ แล้วจะมีเหตุผลอันใดที่ไม่ยอมรับคนไทยที่คิดต่างกัน ผมไม่ต้องพูดก็ได้ว่าในบริบททางเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป concept ความเป็นไทยในนิยามเดิมๆ กำลังกลายเป็นตัวปัญหามากกว่าเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้เนื่องเพราะมันรองรับความแตกต่างหลากหลายในยุคปัจจุบันไม่ได้ ใช้ integrate ชิ้นส่วนใหม่ๆ ของสังคมไทยไม่ได้ เช่น แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ทุนข้ามชาติ กระแสวัฒนธรรมจากต่างประเทศ เป็นต้น” เสกสรรค์ระบุ

เสกสรรค์ กล่าวถึงประเด็นสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตย โดยระบุว่า พูดกันตามความจริง ในหลายๆ ประเทศ คำถามเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยดูจะล้าสมัยไปแล้ว เพราะมันกลายเป็นสภาพปกติในชีวิตประจำวันของผู้คน แต่สำหรับประเทศไทยเรื่องนี้ยังไม่ลงตัวโดยง่าย และไม่มีใครรู้ว่าจะเป็น issue ไปอีกนานสักเท่าใด

“จากมุมที่ผมมอง ปัญหาใหญ่ของประชาธิปไตยมิได้อยู่ที่การถูกยึดพื้นที่หรือถูกล้มกระดานอยู่เป็นระยะๆ โดยฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น หากอยู่ที่ความไม่สามารถป้องกันตัวของระบอบและผู้คนที่สมาทานแนวคิดชุดนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งบางคราวฝ่ายที่ล้มระบอบยังอ้างอีกด้วยว่าทำไปเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยหรือสร้างประชาธิปไตยที่ดีกว่า แสดงว่าจุดอ่อนน่าจะมีอยู่จริง ไม่มากก็น้อย อันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะต้องวิจารณ์ตัวเองบ้าง”

“กล่าวสำหรับแนวคิดสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย จะว่าไปก็ไม่ใช่ของใหม่ในประเทศไทยเสียทีเดียวเพราะเปิดตัวมา 85 ปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าทำไมแนวคิดนี้จึงหยั่งรากลึกไม่พอที่จะต้านพายุโหมและฤดูมรสุมได้เสียที จริงอยู่ อุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งคงอยู่ที่ชนชั้นนำภาครัฐ (State Elites) ซึ่งพยายามทวงอำนาจคืนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาสืบทอดอำนาจมาจากกลไกรัฐซึ่งถูกสร้างขึ้นก่อนระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะปรับตัวให้มี ทั้ง respect และ loyalty ต่อระบอบที่ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจ” เสกสรรค์ ระบุ

และว่า “แต่ก็อย่างที่ผมเรียนไว้เมื่อสักครู่ เราคงต้องยอมรับว่าฝ่ายประชาธิปไตยเองก็มีจุดอ่อนข้อผิดพลาดด้วย ปัญหาอันดับแรก คือในแต่ละช่วงที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองมักเป็นผู้เล่นหลักมากเกินไป ในขณะที่นักการเมืองส่วนใหญ่ก็มีแนวคิดประชาธิปไตยค่อนข้างแคบ อาศัยแต่การเลือกตั้งเป็นหนทางก้าวสู่อำนาจและหมกมุ่นอยู่กับบทบาทในรัฐสภาจนลืมความสำคัญขององค์ประกอบอื่นๆ ของระบอบ เช่น บทบาทของประชาสังคม การเมืองภาคประชาชน สื่อมวลชน หรือแม้แต่เสียงวิจารณ์ของสามัญชนคนทั่วไป ด้วยเหตุดังนี้ บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจึงไม่ได้พยายามผลักดันให้มีการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยออกไปในระดับโครงสร้าง เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของตัวระบอบ ซึ่งใหญ่กว่าและสำคัญกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็รวมถึงความมั่นคงโดยรวมของบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองด้วย” เสกสรรค์ กล่าว

พร้อมระบุว่า กล่าวโดยรูปธรรมแล้ว เรื่องที่พวกเขาควรทำแต่ไม่ได้ทำมีอยู่ 3 ประการคือ หนึ่ง กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง สอง ปฏิรูประบบราชการให้ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และสาม ขยายงานรัฐสภาด้วยการเกี่ยวร้อยภาคประชาชนเข้ามาไว้ในกระบวนการนิติบัญญัติอย่างสม่ำเสมอ ถามว่าทำไมนักการเมืองจึงควรทำ 3 เรื่องนี้ ถ้าให้ตอบอย่างละเอียดผมอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวัน แต่เฉพาะหน้าพูดได้สั้นๆ เพียงว่า ระบอบการปกครองและระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางถูกออกแบบไว้เพื่อควบคุมกำกับสังคมมากกว่าจะกลับข้างกัน ดังนั้นมันจึงเป็นฐานที่มั่นโดยธรรมชาติของความคิดอนุรักษนิยมหรือกระทั่งอำนาจนิยม

“ด้วยสาเหตุดังกล่าว การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นและการปฏิรูประบบราชการจึงเป็นการปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยที่มีนัยสำคัญมาก มันจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค และขยายพื้นที่การใช้อำนาจของฝ่ายประชาชนออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้กลไกทำงานของรัฐมีลักษณะสอดคล้องกับแนวคิดประชาธิปไตยมากกว่าส่วนการเกี่ยวร้อยภาคประชาชนเข้ามาเป็นองค์ประกอบของกระบวนการทางนิติบัญญัตินั้น พูดอีกแบบหนึ่งก็คือทำให้ประชาชนเข้าถึงศูนย์อำนาจและกระบวนการกำหนดนโยบาย ซึ่งจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยเกาะติดชีพจรความคิดของสาธารณชนได้ตลอดเวลา อันนี้จะทำให้งาน Decision Makingของผู้บริหารประเทศมีรูปธรรมรองรับและมีรากลึกเพิ่มขึ้น” เสกสรรค์ กล่าวยืนยัน

และว่า “เรื่องนี้จริงๆ แล้วก็มีแนวคิดรองรับอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ เช่น ให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายหรือเสนอให้ปลดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่าใด พูดแล้วก็พูดให้หมดเปลือก ที่ผ่านมาบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองไม่เพียงลืมผลักดันให้มีการขยายโครงสร้างประชาธิปไตยเท่านั้น หากยังใช้ความสัมพันธ์แบบจารีต ไม่เป็นสมัยใหม่ มาสร้างฐานเสียงทั้งในและนอกพรรค

เสกสรรค์ ชี้ว่า ระบบพรรคการเมืองกลายเป็นอวตารใหม่ของระบบอุปถัมภ์ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วขัดกับปรัชญาเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าการเมืองมวลชนในระยะๆ หลังก็ยังมีความสัมพันธ์แบบนี้เข้ามาปะปน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการเมืองมวลชนที่นำโดยฝ่ายต่างๆ มักจะลื่นไถลไปสู่ภาวะอนาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง มีการอาศัยกำลังมวลชนกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างล้นเกิน จนกระทั่งระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะยืดหยุ่นกลับถูกทำให้เป็น Zero Sum Game หรือระบบ Winner Takes All

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังมักมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชนที่เป็นอิสระ โดยเห็นว่าไม่ใช่มวลชนของตน ดังนั้นแทนที่จะดึงประเด็นของประชาชน โดยเฉพาะยิ่งประเด็นของชุมชนท้องถิ่น เข้ามาสู่กระบวนการทำงานของรัฐ กลับมุ่งกำราบปราบปราม ทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวของภาคประชาชนจำนวนหนึ่งเกิดความคับแค้นจนขาดสติ หันไปสนับสนุนรัฐประหารและระบอบอำนาจนิยม การที่นักการเมืองเป็นผู้เล่นหลักบนเวทีประชาธิปไตยแล้วมองไม่เห็นบทบาทของผู้เล่นอื่น มองไม่เห็นความเปราะบางของระบอบดังกล่าวในสังคมไทย ย่อมทำให้เกิดความประมาทในการใช้อำนาจ และทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นโครงสร้างเสาเดียว เมื่อเสานี้ล้มหรือถูกโค่น ทั้งโครงสร้างก็พังทลายลงมา อย่างไรก็ดี บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น ถึงอย่างไรก็มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยผู้แทน เพียงแต่ว่าต่อไปจะทำแบบเดิมๆ คงไม่ได้ ตัวนักการเมืองเองจะต้องขยายแนวคิดให้กว้างไกลกว่าที่ผ่านมา ต้องมีสำนึกของผู้สร้างระบอบซึ่งยังคงต้องแย่งชิงพื้นที่กับระบอบคู่แข่งอย่างเข้มข้น

เสกสรรค์ ระบุว่า แต่ก็น่าเสียดาย ที่ในระยะเกือบ 4 ปีมานี้ บทบาทของนักการเมืองได้ถูกจำกัดลงจนแทบไม่มีเหลือ การเคลื่อนไหวใดๆ ล้วนถูกควบคุมปิดกั้น ด้วยเหตุดังนี้ interaction ระหว่างนักการเมืองกับสังคมจึงสะดุดลงอย่างสิ้นเชิง แต่การหมดบทบาทชั่วคราวของนักการเมืองมิได้หมายความว่าแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยจะพลอยเงียบสงัดเสียทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องเพราะในสังคมไทยยังมีความเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาชน ชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนปัญญาชนทั้งนอกและในมหาวิทยาลัย องค์กรและเครือข่ายภาคประชาชนมักจะเอาการเอางานในการทักท้วงระบอบเผด็จการโดยยกประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ ส่วนชุมชนท้องถิ่นก็มีปัญหารูปธรรมจากการถูกรุกล้ำฐานทรัพยากรโดยโครงการรัฐและทุนอุตสาหกรรม สำหรับฝ่ายปัญญาชน ประเด็นสำคัญคือรู้สึกรับไม่ได้ที่ถูกระบอบอำนาจนิยมปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง

กล่าวเฉพาะเครือข่ายองค์กรประชาชนและชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากประเด็นที่พวกเขาจับหรือปัญหาที่พวกเขาเจอมักเป็นกรณีความเดือดร้อนที่เป็นรูปธรรม ความต้องการเสรีภาพในการเคลื่อนไหวจึงมิได้เป็นแค่แนวคิด หากคือความจำเป็นในทางปฏิบัติด้วย ดังนั้นประชาชนส่วนนี้จึงมักต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายรัฐอยู่เป็นระยะๆ ส่วนปัญญาชนคนหนุ่มสาว รวมทั้งนักวิชาการในและนอกมหาวิทยาลัย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นน่าจะมีความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยทั่วไปชนกลุ่มนี้มีบทบาทอย่างสูงในการโต้แย้งกับฝ่ายอนุรักษนิยมและเป็นปากเสียงเถียงแทนฝ่ายประชาธิปไตย ด้วยการผลิต content ป้อนสื่อต่างๆ

เสกสรรค์ กล่าวต่อว่า พูดกันตามความจริง ในระยะเกือบ 4 ปีมานี้ สังคมไทยก็ไม่ได้มีเสรีภาพเหลือเท่าใด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากฝ่ายก้าวหน้าบางกลุ่มบางคนไม่ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้มันขยายทั้งแนวคิดและแนวร่วมของฝ่ายตน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่ประณีต บรรจง เพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก “ผมเห็นด้วยกับศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า “เสรีภาพก็เหมือนอะไรอื่นๆอีกมากในโลก…จะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสร้างเงื่อนไขปัจจัยต่างๆที่เอื้อให้เสรีภาพอำนวยผลดีหรือสร้างเงื่อนไขปัจจัยที่เอื้อให้เสรีภาพอำนวยผลร้าย” เสกสรรค์ ระบุ

และว่า “ทั้งนี้และทั้งนั้น ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยกับการจำกัดเสรีภาพ ซึ่งระบอบอำนาจนิยมทำอยู่แล้ว ตรงกันข้าม ผมคิดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสรีภาพ ทั้งในทางการเมืองและในทางสังคม เพราะเสรีภาพที่แท้จริงจะช่วยปลดเปลื้องประชาชนจากโซ่ตรวนแห่งการเอารัดเอาเปรียบ จากการกดขี่ครอบงำ และจากความตื้นเขินทางปัญญา

“พูดง่ายๆ คือ เสรีภาพของชนหมู่มากย่อมนำไปสู่การปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ และเสริมขยายกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับความเจริญเติบโตของสังคม ผมเพียงอยากติงไว้ว่า อย่าปล่อยให้สิ่งที่ไม่ใช่เสรีภาพเข้ามาสวมรอยชูธงเดียวกัน การต่อสู้ทางความคิดในประเทศไทยนั้น ถึงอย่างไรก็ยังต้องดำเนินต่อไปอีกนาน กระทั่งตลอดไป ตราบเท่าที่โลกที่เราเห็นคือโลกที่เราคิด ดังนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ทำอย่างไรเราจึงจะคิดเห็นและมองโลกเหมือนกันทั้งประเทศ สภาพเช่นนั้นทั้งเป็นไปไม่ได้และอาจจะไม่ใช่ความจำเป็น” เสกสรรค์ กล่าว

พร้อมยืนยันว่า สุดท้ายการอยู่ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าพวกเราแต่ละคนไม่ถอยห่างจากตัวเองสักหนึ่งก้าวเพื่อเปิดพื้นที่ปลูกศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ได้เหมือนเราเสียทีเดียวเราต้องเชื่อมั่นว่าภายใต้ผิวพรรณหลากสีภายในเรื่องราวหลากหลายคือจิตวิญญาณมนุษย์อันเป็นสากลและนั่นคือสิ่งที่เรามีร่วมกัน

“การเชื่อมร้อยระหว่างมนุษย์นั้นไม่ได้มาจากความคิดเพียงอย่างเดียวบ่อยครั้งเราอาจพบคนที่คิดอ่านไม่ตรงกันแต่จิตใจกลับละม้ายคล้ายคลึง ดังนั้น ในบางห้วงบางขณะเราจึงไม่ควรไว้ใจเหตุผลของตัวเองมากเกินไป ความรู้สึกเบื้องลึกที่ตรงไปตรงมาอาจจะสอดคล้องกับความจริงมากกว่าเหตุผลที่ปรุงขึ้นด้วยอคติหรือฉันทาคติ อย่างหลังนี้บางทีก็เป็นแค่กรงขังที่อยู่ในรูปของจินตนาการ

“ในชีวิตจริงของคนเรานั้นจำเป็นต้องมีทั้งที่สถานที่ยึดโยงและหมุดหมายที่จะก้าวไปข้างหน้าเพราะฉะนั้นพวกเราอย่าได้มาเถียงกันเลยว่าสิ่งใหม่ดีไปหมดหรือสิ่งเก่าย่อมดีกว่าใหม่เสมอประเด็นมันอยู่ที่การคัดกรองทั้งสองส่วน อย่างไรก็ตามชีวิตเป็นอนิจจังสังคมก็เป็นอนิจจังถึงที่สุดแล้วโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีระบบคัดกรองของมันเองว่าจะพาสิ่งใดติดตามไปด้วยจะทิ้งสิ่งใดไว้ข้างหลังเมื่อเป็นเช่นนี้บางทีอัตวิสัยของเราก็ต้องแข่งขันกับภววิสัยของโลกหรือบางทีก็ต้องเกาะติดไปกับมันไม่มีความคิดใดกำหนดโลกได้อย่างไร้ขอบเขตทั้งหมดนี้คือมุมมองของผมซึ่งก็มาจากความคิดอันจำกัดอีกทั้งถูกย่อส่วนลงไปอีกด้วยความจำกัดของภาษาดังนั้นหากท่านทั้งหลายจะเห็นต่างหรือจะช่วยเพิ่มเติมเสริมขยายผมก็ยินดี” เสกสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image