เมื่อเวลา 10.15 น.วันที่ 19 มีนาคม ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ นัดแรก ว่า คณะกรรมการสรรหาตกลงกันว่าให้ลดเวลาทำงานเหลือ 70 วัน ให้นับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ดังนั้นในเดือนพฤษภาคมจะส่งเรื่องให้ สนช.พิจารณา ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะทำการสรรหาได้อย่างเป็นธรรม ตามกำหนดระยะเวลาพอสมควร แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็จะยังอยู่ในกรอบ 90 วัน
“เพราะการนัดประชุมต่างๆ ต้องเห็นใจกรรมการมาประชุมแต่ละครั้งได้เบี้ยประชุมครั้งละ 1,600 บาท และต้องผูกมัดอยู่ที่นี่ตลอดไป ดังนั้นก็ต้องนัดวันเวลาที่แน่นอนในวันที่กรรมการว่างและลงตัวกันหมดแล้วก็อยู่ในกรอบ 70 วัน โดยเราจะกำหนดประกาศวันรับสมัครผู้ที่จะเป็น กกต.ในวันที่ 26 มีนาคม ถึงวันที่ 9 เมษายนนี้” นายพรเพชรกล่าว และว่า การสรรหาครั้งนี้มีเฉพาะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสรรหา โดยแจ้งว่าหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นกรรมการสรรหาไม่ได้ ส่วนองค์กรอิสระอื่นส่งครบ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากครั้งที่ผ่านมาในที่ประชุมกรรมการสรรหามีการหารือกันเล็กน้อย เพราะตระหนักดีว่าต้องพยายามทำให้ชัดเจน เพราะคงไม่มีใครทราบถึงเหตุผลที่แท้จริง รวมทั้งกรรมการสรรหาที่มาใหม่ก็ตั้งใจที่จะทำงานเพราะต้องเสียสละมาก
นายพรเพชรกล่าวว่า ยืนยันว่าการสรรหา กกต.ชุดใหม่ ไม่มีการทาบทามให้ใครมาเป็น แต่จะเป็นการเชิญชวนให้บุคคลมาสมัครโดยกรรมการสรรหาจะดูจากบุคคลที่ได้รับการสรรหาก่อน ซึ่งลักษณะและคุณสมบัติของ กกต.มีหลายวงเล็บ แต่วงเล็บหนึ่งเท่านั้นที่เขาพูดกันว่ามหาเทพ คือ ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับอธิบดี และต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการมาแล้ว 5 ปีขึ้นไป และอีกวงเล็บหนึ่งระบุว่า ต้องเป็นศาสตราจารย์มาแล้ว 5 ปีขึ้นไป และการที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ใช่ข้าราชการเข้ามาในหลายองค์กร รวมทั้ง กกต.และผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร จึงไม่ค่อยมีผู้สมัครสายนี้ เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระแพทย์ นักบัญชี ทนายความ วิศวกร สถาปนิก เป็นต้น ซึ่งจะต้องทำงานมา 20 ปี ต้องเป็นอาชีพที่มีสภาวิชาชีพ
“ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้มีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครมาสมัครอาจจะไม่รู้ หรือไม่อยากมาสมัคร และอีกประเภทคือผู้ที่อยู่ในภาคเอกชนเช่น ผู้บริหารบริษัทมหาชนจำกัด หรือซีอีโอ แต่ไม่มีใครสมัคร นอกจากนั้น ยังมีผู้ทำงานด้านประชาสังคม ด้านบริการสังคมต่างๆ ก็ไม่มีมาสมัคร ด้วยเหตุนี้ผมจึงมองเห็นว่าจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ อาจจะต้องมีการจัดรายการเพื่อชี้แจงข้อมูล และคุณสมบัติต่างๆ เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สมัคร เพราะผู้ที่สมัครส่วนใหญ่อยู่ในภาคราชการเท่านั้น เช่น เวลาผู้ตรวจการแผ่นดินเปิดรับสมัคร มีแต่อธิบดี ตำรวจ ทหารสมัคร แล้วบอกว่าพวกนี้เป็นตัวเต็งเพราะเป็นคนดัง แต่ปรากฏว่าตกคุณสมบัติหมด ซึ่งเป็นบทเรียนที่เราจะต้องทำเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้แตกต่างในเรื่องคุณสมบัติ เพราะมีการพัฒนาเพื่อที่จะให้บุคคลในภาคอื่นๆ เข้ามาช่วยทำงาน” นายพรเพชรกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการสรรหาจะรู้ใจ สนช.ได้อย่างไร เลือกมาแล้วอาจไม่ถูกใจเหมือนครั้งผ่านมาได้ ประธาน สนช.กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหาเลือกตามคุณสมบัติ ไม่ได้เลือก เพราะต้องไปถาม สนช.ว่าจะเลือกใคร เนื่องจาก สนช.มีหน้าที่ตรวจเฉพาะความประพฤติ จริยธรรม พฤติกรรม ซึ่งในส่วนของกรรมการสรรหาไม่มีเวลาพอ และไม่มีเครื่องมือที่จะไปตรวจ หากตรวจสอบก็จะเป็นการทำงานซ้ำซ้อนกัน ทั้งนี้ทางกรรมการสรรหาจะพยายามตรวจสอบคุณสมบัติให้เร็วที่สุด แม้จะลดเวลาลงแต่ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพ โดยให้หน่วยงานต่างๆ เร่งแจ้งมา แม้ปัญหาจะอยู่ที่การตรวจสอบคุณสมบัติ แต่เชื่อว่าหน่วยงานต่างๆ เคยชินแล้วว่าจะตรวจอย่างไร ก็จะต้องเร่งรัดตรงนั้น โดยกรรมการสรรหาจะใช้กติกาเดิม เชิญผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมาสัมภาษณ์แสดงวิสัยทัศน์แล้วกรรมการลงคะแนนเลือก เมื่อได้ครบ 5 คน ก็จะส่งรายชื่อไปยัง สนช.
ส่วนจะได้ กกต.ชุดใหม่ทันการเลือกตั้งท้องถิ่น หรือเลือกตั้งทั่วไปหรือไม่นั้น นายพรเพชรกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อไร แต่ที่กรรมการสรรหาทำก็ได้เร่งดำเนินการ เพราะที่ผ่านมาเป็นปัญหาความล่าช้า เพราะไม่ผ่านมติ สนช.และต้องมีการสรรหาใหม่ เมื่อมีการสรรหาใหม่ทุกคนก็เฝ้ารอว่า กกต.ชุดใหม่เมื่อไรจะทำหน้าที่ได้ คนก็มองว่าไปกระทบกับโรดแมปเลือกตั้ง ซึ่งไม่เกี่ยวกัน เพราะ กกต.ชุดเก่าที่รักษาการอยู่สามารถทำหน้าที่ได้ แต่เมื่อมีความรู้สึกอย่างนั้นในสังคม กรรมการสรรหาจึงตระหนักดีว่า การสรรหา กกต.ชุดใหม่ จะต้องพยายามทำให้สั้นที่สุด โดยไม่กระทบต่อการสรรหาคนที่เหมาะสมที่สุด
