เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงาน ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่จ.เชียงใหม่ กรณีการสร้างบ้านพักตุลาการเชิงดอย ว่า ในวันที่ 6 พฤษภาคม จะลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ พร้อมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยพยายามให้ได้ข้อยุติภายในวันนั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากต้องมีการหารือกันก่อน ซึ่งการลงพื้นที่ จะให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประสานกับผู้ว่าฯเชียงใหม่ ในการหารือกับเครือข่ายภาคประชาชน 17 เครือข่ายที่รวมตัวกันอยู่
เมื่อถามว่า จะไปพบปะกับผู้ชุมนุมที่นัดรวมตัวกันที่จ.เชียงใหม่ในวันที่ 6 พฤษภาคมด้วยหรือไม่นั้น นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า คงไม่ได้ไปพบกับผู้ชุมนุม แต่จะไปหารือกับตัวแทนภาคีเครือข่าย และการไปหารือไม่ใช่การรับฟังความเห็น เพราะที่ผ่านมารับทราบข้อเสนอแนะครบถ้วนแล้ว รวมถึงรับรู้ความเห็นของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียจำนวนมากแล้ว ซึ่งมีความเห็นที่หลากหลาย แต่การหารือครั้งนี้จะเป็นการพูดคุยในภาคปฏิบัติว่าจะทำเรื่องใดก่อนหลัง แต่ยังไม่สามารถพูดตรงนี้ได้ว่ามีอะไรบ้าง
นายสุวพันธุ์ กล่าวถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินการแก้ปัญหา ว่า จะต้องแก้ไขให้ได้ข้อยุติโดยเร็วที่สุดตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ และเชื่อว่าเรื่องนี้จะจบด้วยความรวดเร็ว แต่ในการหารือวันที่ 6 บางเรื่องอาจได้ข้อสรุป แต่บางเรื่องอาจต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมา
“การแก้ไขความเห็นที่ไม่ตรงกัน เป็นเรื่องยากทุกเรื่อง ถ้าทุกฝ่ายเห็นว่า เราจะยืนอยู่บนหลักของความเป็นจริง หลักของความถูกต้อง และเป็นประโยชน์กับส่วนรวม ผมคิดว่าน่าจะมีทางออกที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งเราก็เปิดกว้างในการพูดคุย และเขาก็อยากพบอยากพูดคุยด้วย” นายสุวพันธุ์ กล่าว
นายสุวพันธุ์ ยังกล่าวถึงการพูดคุยว่าจะรื้ออาคารบ้านพักตุลาการ ว่า ก็จะต้องดูว่าสามารถทำได้หรือไม่ ทำได้ทันทีหรือไม่ กฎหมายให้อำนาจไว้หรือไม่ เพราะ การพูดคุยไม่สามารถยกประเด็นใดประเด็นหนึ่งขึ้นมาแล้วทำให้เรื่องจบได้ เนื่องจากมีประเด็นเชื่อมโยงถึงกันหมด ส่วนที่มีข้อเสนอให้กันพื้นที่ดังกล่าวเป็นแนวอุทยานนั้น ก็อาจเป็นไปได้ แต่จะทำอย่างไร ใช้กฎหมายข้อไหน ใช้เวลาเท่าใด ในเมื่อพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งประชาชนต้องการหรือไม่ ถ้าต้องการทำให้พื้นที่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ต้องหาทางออกให้ทำให้ได้ ซึ่งอาจต้องเชิญกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมหารือด้วย
เมื่อถามว่า การใช้มาตรา 44 จะเป็นทางออกทางหนึ่งในเรื่องนี้หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า การใช้ มาตรา 44 อาจเห็นผลปุ๊บปั๊บ ไม่รู้ว่าผลกระทบที่ตามมาจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าใช้กฎหมายปกติ ซึ่งถูกใช้มานานแล้ว น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า และเราจึงต้องตระหนักถึงวันข้างหน้า หากไม่มีมาตรา 44 จะทำอย่างไร และนโยบายของหัวหน้า คสช. ก็ระบุว่าการใช้มาตรา 44 ควรใช้เท่าที่จำเป็น
