พลันที่นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ชนะการเลือกตั้งและขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียในวัย 92 ก็มีกระแส “ชูชวน” ขึ้นชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที
“อายุ” เป็นต้นเหตุของกระแส สังคมมองว่า ถ้า 92 อย่างนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด เป็นได้ 80 อย่าง นายชวน หลีกภัย ก็ต้องเป็นได้
หากพินิจในทางตรรกะวิทยา
เห็นพ้อง
ถ้ามองในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
เห็นพ้องเพราะ
มีต้นทุนทางการเมืองสูง ความรู้และประสบการณ์ทางการเมืองเพียบ เคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ อีกหลายกระทรวง และประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย
เป็นแม่แบบของนักการเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตย
เป็นคนติดดิน มีความเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แม้ช่วงที่การเมืองปิดก็ยังลงพื้นที่เยี่ยมเยียนชาวบ้านร้านตลาดอย่างสม่ำเสมอมิเคยว่างเว้น
พูดจาเชื่อถือได้ ไม่หุนหันพลันแล่น เป็นคนเข้มแข็งอ่อนโยน ร่างเล็กใส่เสื้อคับลุยบทเข้ม
คุณสมบัติของผู้นำมีครบถ้วน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “มหาธีร์”
เรื่องความดีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเคยมีพระราชดำรัสว่า “นายกฯชวนดีแต่อยู่ไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม กระแส “ชูชวน” ขึ้นเป็นนายกฯสมัยที่ 3 ไม่น่าเป็นไปได้ เหตุผลคือ
เป็นนายกฯ 2 สมัย ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เหมือนกับนักมวยที่แขวนนวมลงจากเวทีอย่างสง่างาม แล้วทำหน้าที่เป็นครูและพี่เลี้ยงให้แก่นักการเมืองรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเป็นเกียรติที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี
อุปนิสัยของเขาเข้าทำนองสุภาษิตจีน “ม้าที่ดีย่อมไม่หวนกลับไปกินหญ้าย้อนหลัง” เพราะเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว ถ้าจะชิงนายกฯก็ต้องกลับไปเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ อันเป็นการไปแย่งเก้าอี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซึ่งเป็น “ศิษย์เอกเด็กในคาถา” ไม่อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้
ภาวการณ์ทางการเมืองวันนี้ต่างกับเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน ต่างกันเพราะเล่นกันดุเดือดรุนแรง มิใช่เรื่องที่ชวนชื่นชอบแน่นอน
การจะเป็นนายกฯได้ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม การแย่งโควต้ากระทรวงเกรดเอ เกรดบีคงหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน คนอย่าง “ชวน” ไม่ยอมแน่ อีกประการหนึ่ง ทุกพรรคต่างก็อยากเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น แล้วใครจะช่วย ต่อให้เป็นการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียว ก็ต้องมีปัญหาเช่นกัน ทั้งนี้ มีข่าวว่าในพรรคประชาธิปัตย์เองก็แบ่งเป็นหลายมุ้ง เพราะเลือดคนละกลุ่ม กระดูกคนละเบอร์
การที่จะเป็นนายกฯได้ต้องมีกระสุนดินดำจำนวนมหาศาล แต่ “ชวน” ไม่มี เพราะเป็นนักการเมืองที่มีวินัย เคร่งครัดในหลักการประชาธิปไตย มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน
ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องต่อสู้กับความชอบธรรมบางอย่างทั้งนิตินัยและพฤตินัยที่เขาสร้างกันขึ้นมาเพื่อจะให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นศึกใหญ่และเปลืองแรง
ประเทศมาเลเซียกับไทย สภาพบ้านเมืองและสถานการณ์การเมืองแตกต่างกัน ประเด็นจึงมิใช่อยู่ที่ “อายุ” ดังว่า “มหาธีร์” 92 เป็นนายกฯได้ “ชวน” 80 ก็ต้องเป็นได้
บรรดาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เป็นนายกฯมี 4 ท่านคือ พ.ต.ควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย รวมเป็นเวลา 5 ปี 300 วัน ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุด
ในขณะที่ พ.ต.ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคคนที่ 1 เป็นนายกฯ 4 สมัย รวมเป็นเวลา 1 ปี 233 วัน ซึ่งทิ้งกันมองไม่เห็นฝุ่น
สมัยที่ “ชวน” เป็นนายกฯ ไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวให้ใครเห็น ไม่เคยเกรี้ยวกราดสื่อ ไม่เคยชี้หน้าสื่อหรือต่อว่าเรื่องใดๆ ถ้าไม่สบอารมณ์ก็ได้แต่ “เงียบ” หงุดหงิดก็แค่ “เกาต้นคอ”
“ชวน” เป็นนักกฎหมายที่สุขุมละเอียดรอบคอบ จนถูกนินทาว่า “ชวนเชื่องช้า” หน้าที่การงานก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง
ก็เพราะเป็นนักกฎหมายกอปรกับความซื่อสัตย์ จึงไม่ทำเรื่องที่มีความเสี่ยงหรือหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย ไม่เคยได้ข่าวในทางติดลบ เช่นทุจริตรับสินบนหรือเงินทองใดๆ เป็นต้น
กระแสให้ “ชวน” ชิงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ในยามนี้ ถือเป็นการ “เสี่ยงภัย” มิใช่เรื่องที่ชวนนิยม จึงแทงบัญชีเป็น “ศูนย์” ได้เลย ต่อให้เอาช้างทั้งป่ามาฉุดก็ไม่มีวันสำเร็จ
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนามว่า “สุรบถ หลีกภัย” เคยตอบคำถามรายการ “กนก รัตน์วงศ์สกุล” เรื่องพ่อสอนอะไรนั้น คำตอบคือ “ชวนหลีกภัย”
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช