“วิษณุ” สวน “นิพิฏฐ์” รถไฟรางคู่เป็นการปฏิรูป เพราะ รบ.วางแผนล่วงหน้า-มีเป้าหมายพิเศษ-มีองค์กรรองรับ ถามกลับ ถ้าหลายเรื่องทำง่าย ทำไมไม่ทำกันมาก่อน ยอมรับ รัฐบาล คสช.ทำงานได้เร็วเพราะมีอำนาจพิเศษ ชี้ ทุกรัฐบาลมีจุดแข็งจุดอ่อน แต่ถ้าทำงานเพื่อ ปท.-ปชช. ไม่รู้จะแข่งกันหาอะไร คุย ผลงานปฏิรูปการเมืองอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้ว หลังเลือกตั้งจะได้เห็นอิทธิฤทธิ์
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 พฤษภาคม ที่ตึ กบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ขาดความเข้าใจและสับสนเกี่ยวกับการปฏิรูป เพราะยกตัวอย่างเรื่องรถไฟรางคู่ว่าเป็นการปฏิรูป ทั้งที่เป็นการปฏิบัติราชการปกติที่รัฐบาลไหนก็ต้องทำ ว่า แล้วแต่จะมอง ต่อให้เป็นรถไฟความเร็วสูง ถ้ามองว่าเป็นการคมนาคมธรรมดา มันก็ธรรมดา เพราะเป็นการเปลี่ยน ไม่ได้ปฏิรูป แต่ถ้าจะปฏิรูปต้องตั้งหลักอยู่เสมอว่า 1.ต้องเป็นเรื่องที่มีการคิดวางแผนล่วงหน้า ไม่ได้เกิดจาก accident หรืองานธุรการประจำวัน 2.ต้องมีจุดมุ่งหมายว่าต้องการนำไปสู่อะไรที่พิเศษกว่าธรรมดา 3.ต้องมีองค์กรหรือกระบวนการเข้ามาดำเนินการ กรณีรถไฟความเร็วสูงนั้นเข้าหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ เพราะเราตั้งหลักไว้แล้วว่าจะนำไปสู่อะไร อย่างโครงการการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ถ้าไปดูพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้ จะเห็นว่าเปลี่ยนแนวคิดการขออนุมัติอนุญาตเดิมที่ต้องไปตามกระทรวงต่างๆ เพ่นพ่าน ให้มาที่อีอีซี one stop ที่เดียวจบ และยังมีสิ่งจูงใจเหนือกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ให้ไว้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามีการคิดอีกแบบ ต่างไปจากของเดิม ถือเป็นการปฏิรูป เพราะฉะนั้นรถไฟต่อให้เป็นความเร็วธรรมดา ถ้าคิดแบบธรรมดาก็เป็นราชการปกติ แต่ถ้าคิดว่าทำรถไฟเพื่อไปเชื่อมกับอะไรอีกมากมายและทำให้เกิดความเจริญ จะเป็นการปฏิรูป
“เมื่อวานนี้ที่มีการประชุมร่วมระหว่างประธานกรรมการปฏิรูปทุกคณะกับประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) บอกว่าสิ่งที่จะเป็นการปฏิรูปได้ ต้อง win-lose คือมีได้มีเสีย การปลูกป่าอาจไม่ใช่ปฏิรูป แต่หากสามารถปลูกป่าแบบเมืองน่านที่นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทยกำลังไปทำ โดยให้คนเข้าไปอยู่ได้ แต่ต้องปลูกป่า นี่ถือเป็นการคิดใหม่ เป็นการปฏิรูป” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลต่อไปทำตามหลักเกณฑ์ 3 ข้อที่นายวิษณุกล่าว ถือว่ารัฐบาลนั้นทำการปฏิรูปด้วยใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ ถึงได้ดูกันว่า 130-140 เรื่องที่ปฏิรูปมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูสิ บางเรื่องเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าธรรมดาแล้วง่ายจริง ทำไมถึงไม่ทำกันมาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสามารถทำอะไรได้ แล้วสิ่งที่เคยติดมันไม่ติด ต้องถือเป็นความยิ่งใหญ่ ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อไปว่า นายนิพิฏฐ์ระบุว่ารัฐบาล คสช.ทำหลายเรื่องได้เร็วเพราะมีอำนาจพิเศษนั้น นายวิษณุกล่าวว่า “ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ถูกแล้ว”
เมื่อถามว่า ถ้าเช่นนั้นรัฐบาลต่อไปจะทำอย่างไรเมื่อไม่มีอำนาจพิเศษแล้ว นายวิษณุกล่าวว่า ก็ทำไปเท่าที่ทำได้ รัฐบาลนี้เข้ามาก็มีตั้งหลายอย่างทั้ง คสช. มาตรา 44 ความร่วมมือจากข้าราชการ มีประชารัฐจากประชาชน เป็นปัจจัยที่ทำให้ขับเคลื่อนได้เร็ว เพราะฉะนั้น ในระบอบประชาธิปไตยก็มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ขับเคลื่อนงานได้เร็วเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลนี้อาจไม่มี และสิ่งที่รัฐบาลนี้มี รัฐบาลหน้าอาจจะไม่มี ทุกคนต้องใช้จุดแข็งของตนให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ไม่รู้จะแข่งกันไปหาอะไร เพราะทุกอย่างก็เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์
“ นับแต่ตั้งรัฐบาลนายสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนถึงก่อนที่รัฐบาล คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ รวม 7 ปี สภาออกกฎหมายไป 120 ฉบับ แปลว่าออกกฎหมาย 20 ฉบับต่อปี แต่เวลานี้ 4 ปี ออกได้กว่า 300 ฉบับ แปลว่าออกมาปีละ 100 ฉบับ ถ้าพูดแค่นี้ก็จบ แต่จะพูดทำไม ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา ต่อให้คุณออกได้ 1,000 ฉบับก็ไม่ได้แปลว่าเก่ง ปัญหามีอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องของปริมาณ แต่คือคุณภาพ เพราะฉะนั้น ถ้ามีกฎหมายอะไรที่พยายามมาเป็นเวลานาน ราชการและประชาชนรอมาเป็นสิบๆ ปี แล้ววันนี้ออกมาได้สำเร็จ อย่างนี้ถึงควรเป็นผลงานที่เอามาคุย ” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องปฏิรูปการเมืองที่หลายฝ่ายมองว่าถอยหลัง นายวิษณุกล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองหากรัฐบาลลงมือทำ เป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่จึงอยู่ในกติกาตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญยังไม่ได้ใช้หมดทุกมาตรา แต่จะค่อยๆ แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นลำดับโดยเฉพาะหลังเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น การปฏิรูปการเมืองได้ทำแล้วและอยู่ในรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้ อีกหน่อยถ้าใช้เราจะเห็นว่าสิ่งที่เมื่อก่อนทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันทำได้ กฎหมายโดยตัวมันเองจึงไม่ใช่การปฏิรูป เพราะการปฏิรูปคือผลจากการออกกฎหมาย
