8 แกนนำ พท.เข้ารับทราบข้อกล่าวหา แถลงข่าว 4 ปี รบ.ล้มเหลว วอนเลิกใช้ กม.เป็นเครื่องมือการเมือง

“8 แกนนำเพื่อไทย” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบ อดีต รมต.-อดีต ส.ส.-มวลชน ให้กำลังใจแน่น

เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 21 พฤษภาคม ที่กองปราบปรามฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค 2.นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค 3.นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย 4.นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 5.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 6.นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 7.นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ 8.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาที่ คสช.ได้ดำเนินการฟ้องร้องแกนนำทั้ง 8 คน จำนวน 4 ข้อหาภายหลังจากที่มีการจัดแถลงข่าวเรื่อง “4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คสช. นำประเทศไปสู่ความมืดมนและอันตราย” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนายชูศักดิ์กล่าวว่า คดีนี้มีความรวบรัด เร่งรีบ การรีบดำเนินการแจ้งความเวลาสองทุ่มของวันที่ 17 พฤษภาคม สอบสวนกันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนวันที่ 18 เวลาช่วงเช้าจึงสามารถออกหมายจับพวกเราทั้งแปดคนได้ ประการต่อมาคือ มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาตั้งข้อหาในลักษณะนี้ เพราะที่ผ่านมาก็มีการแถลงข่าวในลักษณะนี้หลายครั้งหลายหน และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เลย แต่เป็นการใช้สิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ขอถามว่า การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนจะเป็นการปลุกปั่นประชาชนได้อย่างไร การตั้งข้อหาตามมาตรา 116 จะต้องเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อบ้านเมือง ทำให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาล ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น ซึ่งพวกตนเพียงแถลงข่าวไม่ได้ปลุกปั่นอะไรเลย จึงไม่เข้าข้อกฎหมายใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นจึงขอฝากถึงพนักงานสอบสวนว่าการใช้กฎหมายเช่นนี้ไม่ใช่ใครมาแกล้งแล้วก็จะเอาตามที่เขาแจ้ง มันต้องมีการสอบสวนทวนความก่อน ตนจึงเห็นว่าการใช้มาตรานี้ดำเนินการต่างๆ กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสกัดยับยั้งผู้คนไม่ให้แสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ชอบ

นายภูมิธรรมกล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เห็นในวันนี้ทำให้เห็นว่า มีความพยายามใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ใช้กฎหมายอย่างไม่เสมอ ตนสงสัยคลางแคลงใจว่าสิ่งที่พรรคการเมืองได้ดำเนินการตามสิทธิพลเมืองในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชน วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเป็นสิ่งที่จะทำได้หรือไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ 5 คนที่เหลือไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีสมาชิก 3 คนนั่งแถลงข่าว ขณะเดียวกันก่อนการแถลงได้มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับคำตอบมาว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจน พรรคก็ไม่ได้แถลงใดๆ แต่เป็นเรื่องของสมาชิกพรรคที่ดำเนินการ โดยใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นเรื่องที่พลเมืองประเทศไทยสามารถใช้สิทธิในการวิจารณ์กาทำงานของรัฐบาล สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คิดว่าเป็นการใช้กฎหมายเพื่อกำจัดคนเห็นต่างอย่างไม่ชอบธรรรม และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะความขัดแย้งในสังคมไทยที่ต้องการการแก้ไขแต่มีกระบวนการจัดการที่ไม่ยุติธรรม จะยิ่งสร้างปัญหา และทำให้ความขัดแย้งบานปลาย ทั้งนี้ อยากให้นำเหตุการณ์ดังกล่าวไปเป็นอุทาหรณ์ อยากให้ประชาชนและฝ่ายปฏิบัติงานทราบว่าการใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค มาเป็นเครืองมือทางการเมือง ดำเนินการกับประชาชนที่เห็นต่างๆ ถือเปนสิ่งที่เป็นปัญหา ไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบหากเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคต ส่วนข้อกล่าวหาที่แจ้งจับจะโยงไปถึงการยุบพรรคหรือไม่นั้น ได้นั่งดูทุกเรื่องที่แถลงยังไม่เห็นมีข้อไหนที่เข้าข่ายตวามผิดจนนำไปสู่การยุบพรรค เพราะการสะท้อนกานทำงานของรัฐบาลในรอบ 4 ปี ไม่ใช่เรื่องที่จะไปล้มล้าง สร้างปัญหาให้กับประเทศ จนถึงขั้นจะแจ้งความให้ยุบพรรคเพื่อไทยได้ และไม่คิดว่ารัฐบาลจะกล้าทำในสิ่งนี้ ทั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับการตัดสินใจของประชาชนเพราะประชาชนชนคือคนกำหนดทิศทางของประเทศ

ทั้งนี้ บรรยากาศอดีตรัฐมนตรี แกนนำ และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) รวมถึงแกนนำ นปช. อาทิ นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิชย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี นายสมพงษ์ อมรวิวัตร นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นพ.เชิดชัย ตันติสิรินทร์ เดินทางมารอให้กำลังใจตั้งแต่ช่วงเช้า ขณะที่มวลชน และกลุ่มที่สนับสนุนประมาณ 200 คน เดินทางมารอให้กำลังใจแกนนำทั้ง 8 คน ตั้งแต่เช้าเช่นเดียวกัน โดยทันทีที่แกนนำเดินทางมาถึงมวลชนต่างตะโกน “เพื่อไทย” สู้ๆ อยู่ตลอดทาง พร้อมร้องเพลง “ศรัทธา” ให้แกนนำด้วย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ 8 แกนนำเดินเข้าไปภายในกองปราบฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาขอความร่วมมือจากประชาชนที่มาให้กำลังใจแกนนำเพื่อไทยที่นั่งอยู่บริเวณหน้าอาคารกองปราบฯ ย้ายออกไปปักหลักบริเวณด้านนอกอาคาร แต่ประชาชนไม่ยอมเคลื่อนย้าย เจ้าหน้าที่จึงพยายามชี้แจงว่า ที่นี่คือสถานที่ราชการมีคนเข้าออกเพื่อติดต่อราชการจำนวนมาก แต่มวลชนก็ยังยืนยันว่าจะไม่ส่งเสียงดัง แต่ขอปักหลักอยู่ที่เดิม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอทำการตรวจกระเป๋าเพื่อตรวจค้นอาวุธจากกลุ่มมวลชน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image