ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
การต่อต้าน ปตท.จากประเด็น “น้ำมันแพง” เลยไปการรณรงค์ไม่เข้าใช้บริการปั๊มน้ำมัน ปตท.
ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาโจมตีก็คือ “ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศไทยแพงกว่าที่ขายในประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน”-“กำไรมหาศาลของ ปตท.จากธุรกิจน้ำมัน”-“ผู้ถือหุ้น ปตท.ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่เป็นผู้ได้รับประโยชน์” และอื่นๆ
ช่วงหลังๆ นี้เป็นประเด็นอะไรก็ได้ ขอให้ขยายความเกลียดชังต่อ ปตท.ได้เป็นใช้ได้ แชร์กันกระฉูด
เป็นการแสดงออกอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นที่จะต้องทำให้ ปตท.หายนะ ล่มสลายไปได้เป็นดี
อารมณ์นี้ดูคล้ายจะเป็นกระแสหลัก เพราะออกมาแสดงกันถี่ และร้อนแรงไปทั่ว โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่มที่เหมาะสำหรับแสดงอารมณ์
แต่อีกด้านหนึ่ง มีคนอีกกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะตรวจสอบว่าอะไรเป็นอะไร
อาจจะเป็นเพราะมีความรู้สึกว่า การโจมตีในประเด็นเหล่านี้ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และน่าจะมีการชี้แจงเคลียร์กันไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำไมจึงวนมาโจมตีกันอีกได้เสมอ ยังมีข้อมูลอะไรที่ค้างคาหรือไม่
ทำให้ในช่วงหลังมีข้อมูลในทางที่พยายามลดอารมณ์เกรี้ยวกราดของเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันโดยนำข้อมูลด้านที่ได้ค้นคว้ามา มาแสดงให้ดู
อย่างเช่น กำไรของบริษัท ปตท.ที่บอกว่าเป็นแสนล้านบาทต่อปีนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่ 5 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ซึ่งมีหลายธุรกิจทำอัตราของผลกำไรได้มากกว่านี้เยอะ
ที่เป็นแสนล้านเพราะยอดขาย 2 ล้านล้านบาท ซึ่งต้นทุนมหาศาล
กำไรมากเป็นเรื่องของขนาดธุรกิจ ไม่ใช่กำไรเกินควร
ในประเด็นราคาน้ำมันแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน มีข้อมูลอยู่ว่าไม่ว่าประเทศไหน ราคาเริ่มต้นที่หน้าโรงกลั่น อันหมายถึงต้นทุนน้ำมันดิบ บวกค่ากลั่นนั้น ไม่แตกต่างกัน ที่แต่ละประเทศราคาไม่เหมือนกันเพราะเก็บภาษีต่างกัน
ประเทศไทยเรามีรายละเอียดเปิดเผยชัดเจน อย่างเช่น น้ำมันดีเซลที่ขายราคาลิตรละ 29.79 บาท เริ่มจากราคาหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 19.43 บาท บวกด้วยภาษีสรรพสามิต 5.85 บาท ภาษีเทศบาล 0.58 บาท กองทุนน้ำมัน 1 สตางค์ กองทุนอนุรักษ์พลังงาน 10 สตางค์ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.818 บาท รวมราคาขายส่งอยู่ที่ 27.79 บาท
ปั๊มได้ลิตรละ 1.86 บาท และต้องจ่ายภาษี 0.130 บาท
ที่ขาย 29.79 บาทมาจากตรงนี้
1 ใน 4 คือ 220,965 ของภาษีสรรพสามิตที่รัฐบาลได้รับเป็นภาษีน้ำมัน
ส่วนเรื่องที่พยายามชี้แจงกันมาตลอดว่ากำไรของ ปตท.ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากธุรกิจน้ำมันนั้น ข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับที่มาของรายได้หาง่ายมาก หากคิดจะหา เอามาแสดงได้ไม่ยาก เพียงแต่เป็นรายละเอียดที่กินพื้นที่โดยไม่จำเป็น เพราะหาได้ง่ายอยู่แล้ว
ว่าไปข้อมูลอื่นๆ ก็เหมือน เช่น ผู้ถือหุ้น ปตท.รวยกันเละ ก็เช่นกัน หาไม่ยากว่าใครถือหุ้น ปตท.อยู่บ้าง
เบื้องต้นก็คือ กระทรวงการคลังถืออยู่ 51.11% เป็นผู้ถือหุ้นทั่วไป 23.68% ที่เหลือเป็นกองทุนต่างๆ ที่เป็น
ของรัฐก็มีไม่น้อย
รัฐบาลเป็นหุ้นใหญ่อยู่แล้ว โดยไม่ต้องทวง
ข้อมูลพวกนี้ หรือมากกว่านี้หาไม่ยากเลย หากยอมที่จะทำตัวเป็นคนที่อยากมีความรู้เพื่อไม่ให้ “ความคิด” เป็นเรื่องตามๆ กันไป
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้
ที่น่าสนใจคือ ทั้งที่การหาความรู้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ทุกครั้งที่มีการนำเสนอเรื่องนี้วนกลับมา ทุกอย่างก็เหมือนเดิม โกรธเคืองนำหน้า อารมณ์อยากต่อสู้ลุกท่วมทันที
ที่สำคัญกลายเป็นกระแสหลัก
กลุ่มคนที่เชื่อเป็นคนที่พร้อมจะแสดงความรู้แบบรีบๆ อย่างมีอารมณ์
แต่กลุ่มคนที่พยายามหาคำตอบกลับเป็นเรื่องของ
“นักลงทุน” ที่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่กับข้อมูลที่เป็นจริง
คนกลุ่มหลังนี้อย่างน้อยไม่เป็นตกเป็นเหยื่อของนักเคลื่อนไหวที่หาประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดจากการก่อกระแส
สุชาติศรีสุวรรณ