ความหงุดหงิด ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเข้าใจได้ของผู้นำที่มีความตั้งใจสูงในการทำงาน
เมื่อ “ผล” ไม่เป็นไปตาม “เจตนา” ก็ย่อมมีอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นคำประกาศว่าจะ “ทุ่มโพเดียม” ไม่ว่าจะเป็นการไม่ยอมให้สัมภาษณ์
เดินผ่านกลุ่ม “นักข่าว” แล้วเมินไม่ให้ความสนใจ
แต่ความหงุดหงิดอย่างชนิดต่อเนื่อง 3 วัน 3 เวลาอย่างที่เห็นตลอดสัปดาห์หลังนี้ ถือได้ว่าเป็นความผิดปรกติอย่างน่าเห็นใจเป็นพิเศษ
สะท้อนว่าต้องมี “อะไร” ที่เหนือกว่า “ความหงุดหงิด”อย่างที่เคยเข้าใจกัน
เหมือนจะโกรธ “สื่อ” แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่น่าจะใช่
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา “สื่อ” เข้าใจท่วงทำนอง “ความหงุดหงิด” อันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเสมอเป็นเพียงกลยุทธ์
เรียกตามศัพท์ทหารก็คือ “ยุทธวิธี”
เป็นยุทธวิธี 1 ในการเบี่ยงเบน หลีกเลี่ยง การตอบคำถามที่มีความแหลมคม ร้อนแรง เป้าหมายเพื่อต้องการกลบเกลื่อนและปิดร่องรอย
เห็นได้จากเมื่อผ่านพ้นไปจาก “คำถาม” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือสู่ “ปรกติภาพ”
มองในแง่ร้ายก็คล้ายกับ “ตบหัวแล้วลูบหลัง”
กระนั้น ยุทธวิธีเบี่ยงเบน “เป้า” เช่นนั้นก็เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแต่ไม่เหมือนกับสภาพที่ดำรงอยู่ตลอด 1 สัปดาห์นี้ที่มีการเน้นถึงคุณค่าและความหมายของความเป็นมนุษย์
และลงเอยด้วยคำพูดที่ว่า “ผมไม่ใช่เทวดา”
เท่ากับยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินมาถึงจุดสำคัญทั้งในทางส่วนตัวและในทางส่วนรวม
เป็นทาง 2 แพร่งที่ต้องประสบและต้องเลือก
ทางเลือกของรัฐบาลอันมาจากการรัฐประหารมีอยู่ 2 เส้นทางเท่านั้น
1 จะเลือกหยุด และ 1 จะเลือกเดินหน้า
ความแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะไม่หยุดหากแต่เดินไปข้างหน้าต่อไป
แม้หนทางข้างหน้าจะสร้างความหงุดหงิดมากยิ่งกว่านี้