หากนำเอาผลการสำรวจของ”สวนดุสิตโพล”ในเรื่องความสนใจของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายนมาสังเคราะห์
จาก 2 คำตอบอันมาจาก “ประชาชน”
ต่อความสนใจต่อการเมืองร้อยละ 39.48 คือ การเลือกตั้งเพราะอยากให้มีการเลือกตั้งเป็นทางออกที่ดีให้กับบ้านเมือง อยากรู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่
อยากรู้วันที่แน่นอน
และร้อยละ 33.41 การบริหารงานของรัฐบาล เพราะยังมีปัญหาหลายเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ ผลงานยังไม่เข้าตา
ก็จะมองเห็น”แนวโน้ม”ที่ “อยากเลือกตั้ง”สูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ความน่าสนใจอยู่ที่แม้ว่า “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ไม่สามารถระดมคนเข้าร่วมได้สูงในเชิง “ปริมาณ” แต่นั่นมิได้สะท้อนว่าคน “ไม่อยาก” เข้าสู่กระบวนการของ “การเลือกตั้ง”
ไม่ว่า “สวนดุสิตโพล” ไม่ว่า “กรุงเทพโพล” แล้วแสดงให้เห็นแนวโน้มนี้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะความสนใจต่อ “พรรคการเมืองใหม่”
เชื่อได้เลยว่า แนวโน้มอันจะกลายเป็น “กระแส” ต่อไปในระยะเวลาไม่นานนัก คือแนวโน้มที่ “อยากเลือกตั้ง” ไม่ใช่แนวโน้มไปในทางตรงกันข้าม
นี่คือสิ่งที่แต่ละพรรคการเมืองสามารถ “สัมผัส” และรับรู้ได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
จะถือว่าเป็นความสำเร็จของ”กลุ่มอยากเลือกตั้ง”ก็ได้
แนวโน้มเหล่านี้จึงเท่ากับเป็นสัญญาณ “เตือน” ไปยังกลุ่มคนที่ยื้อ ถ่วง หน่วง เวลาของ “การเลือกตั้ง”
ที่ประเมินว่าเป็นผลงานและความสำเร็จอาจจะไม่ใช่
คำถามที่คสช.และรัฐบาลจะต้องขบคิดอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นก็คือ การเลือกตั้งเป็นผลงานและความสำเร็จของคสช.และรัฐบาลหรือไม่
คสช.สามารถ “โฆษณา”ได้หรือไม่
รัฐบาลสามารถนำมาเป็น “ผลงาน” และมอบให้พรรคฝ่ายในสังกัดของตนนำไปหาเสียงสร้างคะแนนนิยมได้หรือไม่ มีผลต่อการสืบทอดอำนาจได้มากน้อยเพียงใด
คำถามนี้มี “คำตอบ” แน่นอนจากผล” การเลือกตั้ง”