เผชิญ ประจันหน้า
เพื่อไทย กับ พรรค คสช.
มากด้วย ความพลิ้ว
ตราบใดที่ยังไม่สามารถ “จัดการ” กับพรรคเพื่อไทยได้ ตราบนั้นแผน “สืบทอดอำนาจ” ของ คสช.ก็จะยังไม่ประสบความสำเร็จ
หรือสำเร็จก็ไม่ราบรื่น
คำว่า “จัดการ” ในที่นี้ คือ พิมพ์เขียวหรือยุทธศาสตร์ใหญ่นับแต่ คสช.ยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
เห็นจากการไล่ต้อนคนของพรรคเพื่อไทย
เริ่มตั้งแต่การถอดถอนและรุกคืบจะยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามมาด้วยการคิดบัญชีคนของพรรคเพื่อไทยอย่างชนิดเรียงตัว
ไล่มาตั้งแต่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กระทั่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
จากนั้นก็ร่างกฎกติกาเพื่อเป็นหลักประกันพื้นฐานไม่ว่าจะผ่านกระบวนการของ “รัฐธรรมนูญ” ไม่ว่าจะกระบวนการ “ยุทธศาสตร์” อันเป็นเครื่องมือในการหาเสียงสร้างคะแนนนิยม
ทุกอย่างล้วนเพื่อ “จัดการ” กับ “เพื่อไทย”
ยิ่งโรดแมปเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ใกล้เข้ามามากเพียงใด ความพยายามในการจัดการกับพรรคเพื่อไทยยิ่งเข้มข้นมากเพียงนั้น
นั่นก็คือ ทำอย่างไรให้ “แตก”
ข้อเสนออันมาจากอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยที่ว่า หากไม่สามารถ “ดูด” คนของพรรคเพื่อไทยเข้ามาก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเอาชนะได้
เพราะที่ดูดๆ กันนั้นยังไม่ถึงพรรคเพื่อไทย
ส่วนหนึ่ง เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนหนึ่ง เป็นคนของพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นคนของพรรคภูมิใจไทย
ตรวจสอบ 60 รายชื่อที่มีการเผยแพร่ออกมาจากซุ้มสุโขทัยก็ยังมิใช่คนของพรรคเพื่อไทย หากแต่เป็นอดีต ส.ส.ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย และยุคพรรคพลังประชาชน
ยังมิใช่อดีต ส.ส.จากการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554
ถามว่าการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐ และหรือพรรครวมพลังประชาชาติไทยขึ้นมานั้นเป้าหมายสูงสุดคืออะไร
คือ การเอาชนะพรรคเพื่อไทย
และการจะเอาชนะพรรคเพื่อไทยให้ได้ แม้กติกาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะรู้เห็นเป็นใจอยู่แล้ว แต่ผลชี้ขาดอย่างแท้จริงก็ยังอยู่ที่ “การเลือกตั้ง”
ทำอย่างไรจึงจะดึงพรรคเพื่อไทยให้เป็นพรรคต่ำกว่า 100
หากศึกษาจาก “ข่าวลือ” ที่ปล่อยออกมา ตราบ ณ วันนี้ ความเชื่อมั่นที่ปลิวว่อนอยู่ในแวดวงการเมืองก็คือ พรรคเพื่อไทยยังสามารถตรึง ส.ส.ของตนอยู่ที่จำนวน 200
กำลังด้านหลักของพรรคเพื่อไทย คือ ส.ส.ระบบเขต
ยุทธวิธีเฉพาะหน้าของพรรค คสช.ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็คือ ทำอย่างไรจะลดจำนวน ส.ส.พรรคเพื่อไทยลงมา
นี่คือภาระของพรรคพลังประชารัฐ นี่คือภาระของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
จากนี้จึงเห็นได้ว่า การขับเคลื่อนโรดแมปเลือกตั้งของ คสช.จึงยังเป็นการขับเคลื่อนไปบนรากฐานแห่งความไม่แน่นอนในทางการเมือง
เป็นความไม่แน่นอนอันเนื่องแต่พรรคเพื่อไทย
ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ พรรคเพื่อไทยมิได้ดำรงอยู่อย่างเป็น “เป้านิ่ง” ให้ คสช.ฟาดกระหน่ำ ตรงกันข้าม แต่ละจังหวะก้าวกลับมากด้วยความพลิ้ว
ความพลิ้วของพรรคเพื่อไทยนั่นแหละยังเป็นเรื่องน่ากลัว