วันที่ 29 พฤศจิกายน คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 350 เขต โดยนายณัฐฎ์ เล่าสีห์สวกุลรองเลขาธิการ กกต.แถลงว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งรอบแรก กกต.ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2561 แต่ระหว่างรอการประกาศราชกิจจานุเบกษาหัวหน้า คสช.ก็มีคำสั่งที่ 16/2561 จึงมีการเปิดรับฟังข้อร้องเรียน ซึ่งก็พบว่ามีการร้องเรียนเข้ามาใน 33 จังหวัด 98 คำร้อง แบ่งเป็นภาคกลาง 19 คำร้อง ภาคเหนือ 21 คำร้อง ภาคอีสาน 52 คำร้อง ภาคใต้ 6 คำร้อง โดยได้มีการพิจารณาคำร้องแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน และเห็นชอบให้มีการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งในวันที่ 28 พฤศจิกายน และประกาศราชกิจจาฯมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 พฤศจิกายน
การแบ่งเขตเลือกตั้งดังกล่าวนั้น กกต.ได้กำหนดรูปแบบการแบ่งเขตเป็น 3 รูปแบบ แล้วส่งให้ผู้มีส่วนได้เสียแสดงความคิดเห็นกลับมาว่าจะเลือกรูปแบบใด จากนั้น กกต.จะพิจารณาใหม่ ซึ่งระหว่างนี้มีเสียงร้องเรียนว่า กกต.ไม่ได้แบ่งเขตเฉพาะ 3 รูปแบบเท่านั้น หากแต่ยังมีการจัดรูปแบบที่ 4 ขึ้นมา ซึ่งเกรงว่ารูปแบบดังกล่าวจะทำให้เกิดผลได้ผลเสียจากการแบ่งเขตขึ้น
เรื่องดังกล่าวนายณัฐฎ์ระบุว่า การพิจารณาของ กกต.เป็นไปตามมาตรา 27 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ให้รวมพื้นที่อำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง คำนึงพื้นที่ติดต่อใกล้ชิดกัน คมนาคมสะดวก และการเคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกัน และหลังสิ้นสุดการรับคำร้องใน
วันที่ 25 พฤศจิกายน ก็มีข้อร้องเรียนเพิ่มมาอีก 11 คำร้อง กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่าเป็นการวิจารณ์ ที่ไม่ได้มีการเสนอรูปแบบแบ่งเขตที่เหมาะสม จึงให้ยุติเรื่อง ทั้งนี้ กกต.ยืนยันว่า ผอ.กกต.จังหวัด มีสิทธิที่จะปรับปรุงนอกเหนือจาก 3 รูปแบบได้ และ กกต.เห็นว่าอำนาจการแบ่งเขตเป็นของ กกต. จึงได้สั่งให้มีการทำรูปแบบที่ 4 แต่ก็มีที่ กกต.ไม่ได้เลือก และในบางจังหวัดก็มีการปรับโดยไม่ยึดทั้ง 4 รูปแบบ
คำชี้แจงของ กกต.จับความได้ว่า มีการจัดการแบ่งเขตในรูปแบบที่ 4 เกิดขึ้นจริง โดยยืนยันว่า กกต.มีอำนาจในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อไปพรรคการเมืองที่มีส่วนได้เสียจะเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การแบ่งเขตการเลือกตั้งทั้งหมด และผลจากคำวิพากษ์วิจารณ์จะทำให้สังคมมองเห็นภาพการแบ่งเขตในจังหวัดต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินความเป็นกลางของ กกต.ในฐานะผู้จัดการเลือกตั้งได้ดียิ่งขึ้น
