แม้พรรคพลังประชารัฐจะเคยมีมติจัดตั้งคณะกรรมการประสานและจัดทำนโยบายร่วมกับอีก 18 พรรคการเมืองโดยมี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นประธาน
แต่จากวันที่ 5 มิถุนายน กระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
หากการจัดตัวบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีจาก 19 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลจะถือว่ามีความยากลำบากอย่างยิ่งยวดแล้ว
การประสานและเขย่าในเรื่อง “นโยบาย” ออกมาจะเป็นอีกงานหนึ่งซึ่งจะต้องประสบกับกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูงในทางการเมือง
เป็นอีกงานหินเบื้องหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่จำเป็นต้อง หยิบเอาประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อันเป็นเงื่อนไขในการแก้ไข “ประชาธิปไตยวิปริต” ให้แปรมาเป็น “ประชาธิปไตยสุจริต” ตามเป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์
เอาเพียงประเด็น “กระจายอำนาจ” ที่ทั้ง 19 พรรคล้วนเขียนเอาไว้ และหาเสียงกันอย่างคึกคัก
บางพรรคอย่างเช่น พรรคพลังท้องถิ่นไทไปไกลถึงขนาดเสนอให้มีการเลือกตั้ง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ด้วยซ้ำไป ถามว่าทางพรรคพลังประชารัฐจะมีความเห็นอย่างไร
เพราะพรรคพลังประชารัฐคือพรรคการเมืองที่ประกาศจะสืบทอดนโยบายดีๆ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และหากนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ทิศทางของ คสช. ทิศทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือการรวมศูนย์อำนาจจากท้องถิ่นมาอยู่ส่วนกลางภายใต้การกำกับของกระทรวงมหาดไทย
ถามว่าจะมีเอกภาพในเรื่อง “กระจายอำนาจ” อย่างไร
ก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 นโยบายของรัฐบาลเกือบไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะทุกรัฐบาลลอกมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งสิ้น
แต่นับจากการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 นับจากมีพรรคไทยรักไทย ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ยิ่งการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 ยิ่งไม่เหมือนเดิม
“นโยบาย” จะได้รับความสนใจและเฝ้ามองอย่างชนิดเกาะติดจากทุกสายตาในสังคม