ชัยชนะ ของใคร ของ เผดิมชัย หรือของรัฐบาล

ผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม เขต 5 อย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏออกมาแล้วว่า นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นผู้ชนะ
ทั้งนี้ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งว่า เมื่อนับคะแนนครบทุกหน่วย พบว่า นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 37,675 คะแนน นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่ ได้ 28,216 คะแนน   นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 18,425 คะแนน นางลาวัลย์ สิงห์สถิต พรรคเสรีรวมไทย          ได้ 2,261 คะแนน น.ส.ปริมปรางค์ แสงสว่าง พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ 467 คะแนน นายเพชร จันทร์ดา     พรรคเพื่อชีวิตใหม่ ได้ 226 คะแนน
และ น.ส.สิริขวัญ แย้มมูล พรรคพลังสังคม ได้ 154 คะแนน
เป็นคะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 143,542 คน ที่มาใช้สิทธิ 91,043 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 63.43 เป็นบัตรดี 87,424 บัตร คิดเป็นร้อยละ 96.03 บัตรเสีย 1,623 บัตร คิดเป็นร้อยละ 1.78 และบัตรไม่เลือกผู้ใด 1,996 บัตร คิดเป็นร้อยละ 2.19
การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งซ่อมแทน น.ส.จุมพิตาจันทรขจร จากพรรคอนาคตใหม่ ที่ลาออกเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ
การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว น.ส.จุมพิตา จากพรรคอนาคตใหม่ มีคะแนนชนะนายเผดิมชัย แชมป์เก่าแบบขาดลอย แม้ครั้งนี้พรรคอนาคตใหม่จะส่งนายไพรัฏฐโชติก์ สามี น.ส.จุมพิตา ลงเลือกตั้งซ่อม
แต่ผลการเลือกตั้งก็ออกมาว่า นายเผดิมชัยได้กลับมาทวงแชมป์คืน

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดขึ้นสร้างความยินดีแก่ฝ่ายรัฐบาล โดยมองว่า สาเหตุที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้เนื่องจากประชาชนต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายรัฐบาลมองว่า ประชาชนเขต 5 นครปฐม ชื่นชอบผลงานของรัฐบาล
ขณะที่พรรคอนาคตใหม่มองว่า สาเหตุที่แพ้แก่นายเผดิมชัยเนื่องจากการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันพุธ ไม่ใช่วันอาทิตย์ ทำให้ฐานคะแนนเสียงของพรรคอนาคตใหม่ขาดหาย
ขณะเดียวกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังได้หยิบยกเอามาตรา 91 รัฐธรรมนูญมาสอบถามถึงจำนวน ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่และพรรคชาติไทยพัฒนา
ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ได้บอกวิธีการคำนวณ ส.ส.อันพึงมีของแต่ละพรรค ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ 81 ที่นั่ง ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาได้ 10 ที่นั่ง
เมื่อการเลือกตั้งซ่อมผ่านพ้น ทำให้ ส.ส.เขตของพรรคอนาคตใหม่ลดลง 1 ที่นั่ง จำนวน ส.ส.รวมเหลือ 80    ที่นั่ง
นายธนาธรจึงสงสัยว่า จะมีการเกลี่ย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมาให้พรรคอนาคตใหม่ 1 ที่นั่ง ให้เป็นไปตามจำนวน ส.ส.อันพึงมีหรือไม่
เช่นเดียวกับ ส.ส.อันพึงมีของพรรคชาติไทยพัฒนามี 10 ที่นั่ง เมื่อได้ ส.ส.เขตเพิ่มมา 1 ที่นั่ง ทำให้มีจำนวน ส.ส.จำนวน 11 ที่นั่ง
เกินจำนวน ส.ส.อันพึงมีของพรรคชาติไทยพัฒนา
จึงสงสัยว่า จะต้องลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่
คำถามนี้ กกต.ต้องตอบ

สําหรับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของนายเผดิมชัย เพราะนายเผดิมชัยและตระกูลสะสมทรัพย์นั้นถือว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ในจังหวัดนครปฐม เป็นตระกูลการเมืองที่อยู่คู่กับนครปฐมมายาวนาน
ความพ่ายแพ้เมื่อการเลือกตั้งครั้งที่แล้วจึงเป็นกรณี “ล้มช้าง”
ความพ่ายแพ้คราวที่แล้ว อาจจะมีจากหลายสาเหตุ
ทั้งนี้ เพราะเดิมนายเผดิมชัยอยู่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่หลังจากมีกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ไปเยือน
กระแสเปลี่ยนพรรคก็ดังกระหึ่ม
แต่แทนที่นายเผดิมชัยจะเปลี่ยนจากพรรคเพื่อไทยไปยังพรรคพลังประชารัฐ
นายเผดิมชัยกลับหาที่อยู่ใหม่ นั่นคือ ชาติไทยพัฒนา
การเปลี่ยนพรรคอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีกระแสฟีเว่อร์พรรคอนาคตใหม่ ยังมีการแข่งขันจากพรรคพลังประชารัฐ
รวมถึงทีมงานของนายเผดิมชัยเองอาจจะประมาท
ในที่สุดจึงพ่ายแพ้
แต่คราครั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า นายเผดิมชัยและตระกูลสะสมทรัพย์เตรียมตัวเป็นอย่างดี
สำหรับนายเผดิมชัยและตระกูลสะสมทรัพย์แล้ว การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้แพ้ไม่ได้
ดังนั้น เมื่อผลคะแนนการเลือกตั้งออกมาอย่างท่วมท้น
ชัยชนะที่เกิดขึ้นย่อมเป็นของนายเผดิมชัยอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม หากจะมองว่าชัยชนะที่เขต 5 นครปฐม จะเป็นชัยชนะของรัฐบาลด้วยนั้น
ยังมีคำถามที่ต้องถามไถ่
เป็นคำถามจากพรรคอนาคตใหม่ ว่าทำไมการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ กกต.จึงต้องกำหนดเป็นวันพุธแทนที่จะเป็นวันอาทิตย์เหมือนเดิม
เป็นคำถามถึงปัจจัยจูงใจการลงคะแนนเสียงที่มีความเหมือนและแตกต่างระหว่างการเลือกตั้งเมื่อต้นปีกับการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม
และเป็นคำถามเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาปากท้อง
ทุกคำถามไม่ได้พาดพิงถึงชัยชนะของนายเผดิมชัย
หากแต่พาดพิงถึงรัฐบาลที่อุปโลกน์ว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของรัฐบาลด้วย

Advertisement

ภายหลังการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐมสิ้นสุดลง แม้ปัญหาของรัฐบาลจะไม่เพิ่มขึ้น
แต่ปัญหาเดิมๆ ของรัฐบาลก็ไม่ได้หมดไป
ปัญหาเสียงปริ่มน้ำก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ เพราะเสียงที่แม้จะได้เพิ่มมา 1 เสียงก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อการโหวตในสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น นับว่ามีแต่จะแย่ลง
ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวโต๊ะ       ทั้งการออกแพคเกจทางเศรษฐกิจทุ่มเงินลง “ฐานราก” เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งออกมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร ชาวสวนยางและอื่นๆ
แต่ดูเหมือนว่า “เครื่องยนต์” กระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ทั้งการลงทุน การส่งออก การจับจ่ายใช้สอย  และงบประมาณภาครัฐ กลับยังไม่สามารถสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชนได้
นี่แหละคือปัญหาใหญ่ของรัฐบาล
แม้ในทางการเมือง รัฐบาลจะมีกลไกต่างๆ ที่สนับสนุนให้ได้ชัยชนะ
ได้ชัยชนะ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยด้วยวิธีการต่างๆ มาบัดนี้เชื่อกันว่าจะชนะพรรคอนาคตใหม่ด้วยวิธีการไม่แตกต่างกัน
แต่ในทางเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลยังต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปอีกมาก
สำหรับรัฐบาลนั้น แม้ทางการเมืองจะได้ชัย แต่ด้านเศรษฐกิจต้องถือว่าเพลี่ยงพล้ำ
แม้จะมีความมั่นคง แต่ไม่มั่งคั่ง
สถานการณ์เช่นนี้ ชนชั้นที่ลำบากหนีไม่พ้นประชาชน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image