‘ซุปเปอร์สเปรดเดอร์’ ทำไวรัสอู่ฮั่นระบาดเร็ว!

ด้วยเหตุที่เป็นไวรัสสายพันธุ์ที่อุบัติใหม่ การต่อสู้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 จึงกลายเป็นการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่อยู่ในความมืด มองไม่เห็นตัว ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ซึ่งยากเย็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่มีการประกาศการระบาดนี้อย่างเป็นทางการในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ วงการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายยังคงล่วงรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวรัสชนิดใหม่นี้น้อยมาก ตั้งแต่เรื่องของตัวไวรัสเอง เรื่อยไปจนถึงอาการทั้งหมดที่มันก่อให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่จำเป็นอย่างยิ่งทั้งต่อการสกัดกั้นการแพร่ระบาดและการเยียวยาผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ให้หายขาด

รวมทั้งมีความสำคัญต่อการคาดหวังถึงวัคซีนสำหรับป้องกันตัวเรา ในกรณีที่เกิดการแพร่ระบาดขึ้นอีกในอนาคต

ธรรมชาติของไวรัสอู่ฮั่น

Advertisement

ชอว์น เบคมานน์ รองศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา ประจำมหาวิทยาสเตทตัน ในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ยอมรับว่ายังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมากเกี่ยวกับไวรัสนี้ เท่าที่รู้กันก็คือมันเป็นโคโรนาไวรัส ในตระกูลเดียวกับ ไวรัสซาร์ส และ
เมอร์ส เราสามารถจำแนกจีโนมของไวรัสสายพันธุ์นี้ได้และกำลังใช้มันเพื่อศึกษาวิจัยให้แน่ชัดว่ามันมีที่มาอย่างไรและส่งผลอย่างไรต่อมนุษย์

เบคมานน์ระบุว่า เท่าที่ข้อมูลที่มีบ่งชี้ว่า ไวรัสนี้มีชีวิติอิสระอยู่ได้
ไม่นานนัก ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถอยู่บนพื้นผิวใดๆ หรือฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศแล้วยังสามารถติดต่อได้นานนัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการแพร่ระบาดจากคนสู่คนนอกประเทศจีน ถึงได้มีจำนวนน้อย แตกต่างกับสถานการณ์การระบาดในประเทศจีนเอง โดยเฉพาะที่จุดศูนย์กลางของการระบาดอย่าง อู่ฮั่น หรือหูเป่ย์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นตรงกันก็คือ ไวรัสโคโรนา 2019 นี้แพร่ระบาดได้เร็วมาก ปริมาณของผู้ติดเชื้อทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นพ.วิลเลียม ชาฟฟ์เนอร์ ศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกันและโรคระบาดของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ยอมรับว่า คงต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ กว่าที่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญจะมั่นใจได้ว่าพฤติกรรมของไวรัสใหม่นี้เป็นอย่างไร ทำไมถึงแพร่ระบาดได้เร็วมากนัก เหตุผลก็คือ แม้แต่วิธีการตรวจสอบผู้ติดเชื้อที่เชื่อถือได้ก็เพิ่งมีขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้นเอง

Advertisement

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนไม่ได้พบเห็นผู้ป่วยจริงๆ ไม่ได้ตัวอย่างมา
วิเคราะห์จริงๆ ได้แต่อาศัยข้อมูลในการประเมิน ซึ่งนั่นทำให้การคาดการณ์แตกออกไปในหลายทาง มีบ้างที่ชี้ว่าการพบผู้ติดเชื้อใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะ มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ได้รับเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ หรือได้รับเชื้อแล้วแสดงอาการพื้นฐาน ซึ่งโดยรวมแล้วคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ออกมาเท่านั้น ก่อนที่จะป่วยหนักขึ้นและอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วเมื่อเชื้อไวรัสก่อให้เกิดอันตรายต่อปอด จึงเข้าพบแพทย์

มีบางกลุ่มที่เชื่อว่าไวรัสโคโรนา 2019 อาจแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าที่คาดกันไว้ รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะแพร่ระบาดผ่านช่องทางอื่น นอกเหนือจากการสัมผัสใกล้ชิด เช่นการแพร่ระบาดผ่านการสะสมอยู่ในอุจจาระ ของผู้ป่วย หรือเป็นไปได้ที่มีการแพร่ระบาดผ่านอากาศได้เหมือนเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูลเดียวกัน

‘ซุปเปอร์สเปรดเดอร์’

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาอีกหลายคน รวมทั้ง ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและนโยบายว่าด้วยโรคติดต่อ ของมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา
ชี้ว่า การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในจีนนั้น อาจเป็นเพราะมีพาหะที่เป็น “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” อยู่ด้วย

“ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” เป็นชื่อที่ใช้เรียก “พาหะ” บางรายที่สร้างปรากฏการณ์ประหลาดให้เกิดขึ้นในการระบาดของโรคระบาดหลายชนิด ซึ่งจะด้วยเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ทำให้คนบางคนสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าและเร็วกว่าคนทั่วไป โดยทำหน้าที่เหมือนเป็นระเบิดเชื้อโรค ที่ระบาดออกไปสู่คนจำนวนมากได้ในคราวเดียวกัน โดยแทนที่จะแพร่ให้กับคนใกล้ชิดเพียง 2-3 คน กลับสามารถแพร่เชื้อโรคออกไปรวดเดียวหลายสิบคนเป็นต้น

การติดต่อระหว่างคนสู่คนนั้น ไม่มีอัตราส่วนตายตัวแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับอัตราเฉลี่ยของโรคหรือของไวรัสสายพันธุ์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสซาร์ส ในปี 2002-2003 นั้น พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ติดเชื้อ 1 ราย สามารถแพร่ออกไปให้กับผู้อื่นได้ 8 ราย ในขณะที่ไวรัสเมอร์ส (2015) ในเกาหลีใต้ นั้น อัตราการเฉลี่ยของการแพร่ระบาดคือ 1 ต่อ 6 เป็นต้น

แต่ในกรณีของไวรัสอู่ฮั่นกลับส่อให้เห็นสัญญาณถึงการเกิดปรากฏการณ์ “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” ขึ้น อย่างเช่น รายงานเบื้องต้นของผู้เชี่ยวชาญโรคด้านระบบทางเดินหายใจชาวจีนผู้หนึ่งระบุว่า ผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสรายหนึ่งแพร่เชื้อให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลรวดเดียว 14 คน เป็นต้น

แลร์รี แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดของมหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าปรากฏการณ์ “ซุปเปอร์ สเปรดเดอร์”
อาจกำลังเกิดขึ้จนในจีน เพียงแต่ไม่มีใครรู้เท่านั้น

ตัวอย่างจาก‘ซาร์ส’

ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เคยมีบทบาทสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคมาแล้วหลายโรค ตั้งแต่ อีโบลา
ไปจนถึง วัณโรคเมื่อหลายสิบปีก่อน ทีมนักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ตรวจวิเคราะห์รูปแบบของการแพร่ระบาดของโรค มาลาเรีย, เอชไอวี, และอื่นๆ และพบว่า
มีผู้ติดเชื้อ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในผู้ติดเชื้ออีก 80 เปอร์เซ็นต์ สัดส่วน 20-80 ดังกล่าวนี้เป็นที่ยอมรับกันเป็นหลักคิดมานับตั้งแต่ตอนนั้น แม้ว่าสัดส่วนจะไม่เป็นเช่นนี้เสมอไปก็ตาม

องค์การอนามัยโลกเองเคยสรุปเอาไว้ว่า การแพร่ระบาดของซาร์ส นั้นปรากฏผู้ที่ทำหน้าที่เป็น “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” เกิดขึ้นหลายต่อหลายจุด ที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างเสมอก็คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2003 ก่อนที่ซาร์ส จะได้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำไป มีผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง ถูกส่งตัวไปมาระหว่าง 3 โรงพยาบาลในเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง

ผู้ป่วยรายนั้นเพียงรายเดียว ส่งผลให้ผู้อื่นติดเชื้อซาร์ส ไปด้วยมากถึง 82 คน

หรือกรณีของนายแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งถูกเรียกตัวไปรักษาผู้ป่วยรายหนึ่งในโรงแรมเมโทรโพล ฮ่องกง กลับเป็นพาหะซุปเปอร์สเปรดเดอร์ นำเชื้อซาร์ส ไปแพร่ให้กับคนที่พักอยู่ที่โรงแรมดังกล่าวถึง 12 คน ซึ่งก่อให้เกิดการระบาดต่อในอีก 5 ประเทศ ที่คนทั้ง 12 คนนั้นถือสัญชาติอยู่เมื่อเดินทางกลับ

ในขณะที่ผู้ป่วยซาร์สอีกจำนวนไม่น้อย ไม่ได้แพร่เชื้อให้กับผู้ใดเลย

มาร์ค เดนิสัน ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ซึ่งศึกษาโคโรนาไวรัสโดยเฉพาะ ยอมรับว่ายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญสามารถบ่งชี้ได้ว่าอะไรเป็นที่มาของการเป็น “ซุปเปอร์ สเปรดเดอร์” ไม่แน่ว่าจะเป็นลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมของไวรัส หรือไม่ก็เป็นคุณลักษณะเด่นอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ไวรัสสามารถแบ่งตัวได้มากเป็นพิเศษในคนบางคน หรืออาจเกิดขึ้นสืบเนื่องจากอาการป่วยที่บุคคลนั้นๆ แสดงออกมาก็เป็นได้

กรณี‘ไทฟอยด์ แมรี’

แน่นอน การตรวจสอบจนพบและสามารถจำแนก “ซุปเปอร์ สเปรดเดอร์” นั้นช่วยในการลดการแพร่ระบาดลงได้อย่างมาก ปัญหาก็คือ “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” ไม่ได้จำแนกได้ง่ายดายนัก เวอร์เนอร์ บิสชอฟฟ์ ผู้เชี่ยวชาญจาก สำนักการแพทย์ เวค ฟอเรสต์ ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ในกรณีการศึกษาผู้ป่วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ในระหว่างปี 2010-2011 ของตน ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้ง 61 คน นั้น มีเพียง 26 คนเท่านั้น ที่สามารถบอกข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การประเมินหาแหล่งแพร่ระบาดได้

โชคดีที่ 5 คนในจำนวน 26 คนนั้น คือ “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” ที่สามารถแพร่ให้กับผู้อื่นได้มากกว่าอัตราการแพร่เฉลี่ยทั่วไปถึง 32 เท่าตัว

ในอดีตเคยมีกรณี “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” ที่สามารถจำแนกออกได้มาแล้ว อย่างเช่น กรณีของ “ไทฟอยด์ แมรี” ที่เป็นแม่ครัวชาวไอริช ซึ่งทำงานอยู่ในนครนิวยอร์กในราวต้นทศวรรษ 1900 ที่เริ่มต้นการแพร่ระบาดของไทฟอยด์ที่นั่นขนานใหญ่ ด้วยการเป็นผู้เริ่มแพร่เชื้อรายแรกให้กับคนอื่นๆ อีกหลายสิบคน ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้แสดงอาการ

“ไทฟอยด์ แมรี” ถูกกักตัวให้อยู่บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง นานถึง 26 ปีเลยทีเดียว

‘ดอน’แจง12ข้อรับคนไทยกลับ

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำเอกสารชี้แจงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และกระบวนการในการนำคนไทยกลับประเทศ 12 ข้อ ดังนี้

1) เมื่อเกิดการระบาดที่เห็นเค้าว่าจะลุกลามไปนอกประเทศจีนและทั่วโลก รัฐบาลจีนก็ดําเนินการที่เคยทำมาแล้วได้ผลในอดีต (กรณี SARS) ในการควบคุมการเเพร่เชื้อได้ระดับหนึ่งคือ ปิดเมืองอู่ฮั่น และขอความร่วมมือจากมิตรประเทศ เพื่อให้การควบคุมโรคชั้นที่ 1 ดําเนินการได้อย่างไม่มีอุปสรรค ซึ่งไทยมีความรับผิดชอบร่วมต่อตนเอง และต่อโลกที่จะให้การควบคุมโรคชั้นที่ 1 ให้ดําเนินการไปได้

นายดอนระบุว่า

2) จากการติดต่อกับคนไทยทราบว่าคนไทยในเมืองอู่ฮั่นไม่มีอาการป่วย ปลอดภัยดี และมีอาหารพอเพียง โดยจีนยืนยันจะดูแลคนไทยอย่างดี แต่ไทยก็ติดตามพัฒนาการเรื่องนี้ตลอดนับแต่ปิดเมืองเมื่อวันที่ 23 มกราคม

3) ไทยไม่นิ่งเฉยในการเตรียมความพร้อมช่วยเหลือคนไทยด้วยเที่ยวบินพิเศษ ต่อมาได้เปลี่ยนแนวคิดเป็นเครื่องเหมาลำเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ขณะเดียวกัน สร้างกลุ่มวีแชตติดต่อกันระหว่างสถานทูตและแพทย์จากไทยกับกลุ่มนักเรียนไทยและคนไทยเพื่อให้คำแนะนำและการช่วยเหลือตลอดเวลา ท่านนายกฯติดตามเรื่องทั้งหมดอย่างใกล้ชิดและสั่งการกำชับให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมความพร้อมรับคนไทยกลับเมื่อได้ไฟเขียวจากจีน

4) จีนได้แจ้งว่าแม้จะยังไม่มีนโยบายส่งเสริมการนำคนต่างชาติออกจากอู่ฮั่น แต่การที่มีหลายประเทศต้องการนำคนออก จีนจึงเริ่มพิจารณาประเด็นนี้จริงจัง ทั้งที่ยังห่วงกังวลถึงผลกระทบในวงกว้างจากการแพร่ระบาดออกไปจากเขตควบคุม

5) ในที่สุดเมื่อวันที่ 28 มกราคม จีนให้ญี่ปุ่นและสหรัฐซึ่งมีสถานกงสุลใหญ่อยู่ในอู่ฮั่นนำคนในชาติออกจากเขตควบคุมกลับประเทศได้

6) สำหรับไทย ตรวจสอบจำนวนคนไทยที่อยู่ในอู่ฮั่นในตอนต้นว่ามี 64 คน (นักศึกษา 49 คน นักท่องเที่ยวและคนทำงาน 15 คน) เริ่มแจ้งความประสงค์จะออกจากอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 27 มกราคม แต่จำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 135 คน เมื่อซักถามกันจริงจังก็ปรับเป็น 160 คนที่พร้อมกลับไทย แต่ล่าสุดปรับอีกเหลือประมาณ 140 คน

7) ในส่วนนักศึกษานั้นจะรวมตัวกันไปสนามบินเมื่อได้รับการยืนยันวันที่จะกลับได้ แต่การประสานกับกลุ่มคนทำงานรวมทั้งนักท่องเที่ยวไทยยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ เพราะยังมีปัญหาการเดินทางของแต่ละคน แต่ละกลุ่มที่จะไปรวมตัวกันในจุดนัดพบ เจ้าหน้าที่สถานสถานทูตประสานกับฝ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเรื่องเช่ายานยนต์ขนส่งคน

8) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง 3 คนเดินทางโดยรถยนต์ไปอู่ฮั่น ระยะทางประมาณ 1,300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 ชั่วโมงเพื่อเตรียมการอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางกลับไทย

9) นอกจากเตรียมการที่เมืองจีน ยังเตรียมการเที่ยวบินที่กรุงเทพฯที่จะออกไปอู่ฮั่นเพื่อรับคนกลับ มีประเด็นการเตรียมเครื่อง เตรียมคน เตรียมวชภัณท์และสิ่งของต่างๆ เพื่อไปช่วยคนจีนในอู่ฮั่น รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยที่จะเคลื่อนย้ายกลับในระหว่างการเดินทาง

10) การ quarantine (กักกัน) ตามระเบียบ 14 วันนับแต่มีการปิดเมืององอู่ฮั่นนั้น จะได้รับการปฏิบัติต่อผู้เดินทางกลับในค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีสาธารณสุขกำชับให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มงวด แม้จะไม่มีผู้ใดมีอาการป่วยก็ตาม ทั้งนี้ รวมถึงบุคลากรทั้งหมดที่เดินทางไปกับเที่ยวบินที่รับคนไทย ก็เข้าข่ายต้องได้รับการตรวจเชื้อดูอาการไปด้วย
ยันนำคนไทยกลับต้องปลอดภัย

11) เวลาการเตรียมการและประสานในเรื่องต่างๆ ของสถานทูตกับคนไทย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าอู่ฮั่นถูกปิด จึงลงตัวพอดีกับเงื่อนเวลาที่ไทยได้ขอไปบนพื้นฐานของเที่ยวบิน และความละเอียดที่ต้องมีในการนัดหมายกับคนไทยในเรื่องการออกเดินทาง เพื่อมิให้มีการตกหล่น หากไทยพยายามเร่งตัวเองในการติดต่อกับผู้สมัครใจกลับทั้งหมดที่อยู่กระจัดกระจาย อาจจะไม่ครบถ้วน เพราะมีที่พักในเขตต่างๆ การคมนาคมถูกตัดขาด อาจเกิดการค้างคาของคนได้ ดูจากการปรับมาปรับไปของจำนวนคนที่พร้อมจะกลับ
“แต่ที่สำคัญคือชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ป่วย ไม่ขาดแคลนอาหารของคนไทยเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่การแข่งขันกับชาติไหนๆ ว่าใครจะออกก่อนออกหลัง ให้คนไทยปลอดภัย ไม่ติดเชื้อเมื่อมาถึงไทยก็เป็นธงชัยของไทยในเรื่องการเคลื่อนย้ายคนจากอู่ฮั่น ขณะเดียวกันจำเป็นที่ไทยจะดูแลควบคุมสถานการณ์ในไทยอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดกรณีการติดเชื้อในไทยอันเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม การเดินทางเข้า-ออกประเทศของคนไทยและเทศในทิศทางใดต้องได้รับการดูแลจัดการอย่างดีเยี่ยมเท่านั้น ไทยทั้งประเทศจึงจะปลอดภัย”
อย่างไรก็ดี การเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดไม่ตื่นตระหนก มีความเป็นเอกภาพภายในประเทศ และให้การสนับสนุนมิตรประเทศที่ประสบปัญหา รู้ถึงความยากลำบากของเขาในยามวิกฤต ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าเท่าการเข้าใจ เข้าถึงจิตใจของมิตรในยามยาก และถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันอย่างสุขุม

12) ฉะนั้นในเรื่องไวรัสอู่ฮั่น มีมิติหลากหลายแทรกตัวอยู่ เป็นเรื่องสุขภาวะทางกาย สภาพคนทางจิต เรื่องการอยู่ การกิน เรื่องความเป็นความตาย เรื่องการอยู่รอด เรื่องความเชื่อมั่น เรื่องประสิทธิภาพการทำงาน เรื่องการประสานงาน เรื่องการข่าว การประชาสัมพันธ์ เรื่องการเมืองภายในประเทศ เรื่องเฟคนิวส์ เรื่องการเอาชนะคะคานกัน เรื่องศักดิ์ศรีของชาติ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับมือกับเรื่องนี้ 360 องศา (บวกมุมบนกับล่าง)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image