‘บิ๊กตู่’ปรับลุค ส่งสัญญาณปรับ ครม. ท้าพิสูจน์‘รวมไทยสร้างชาติ’
ความเคลื่อนไหวการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความร้อนแรงไม่ใช่น้อย
ร้อนแรงที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ในวันที่กลุ่ม 4 กุมาร อันประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประกาศลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ
นายอุตตมกล่าวว่า ที่ผ่านมากว่า 2 ปี ที่ได้มีส่วนร่วมเป็นแกนนำจัดตั้งเป็นพรรค พปชร.ร่วมกัน มีความตั้งใจที่จะทำงานการเมืองเพื่อประเทศชาติในภาวะตอนนั้น มีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นผู้นำประเทศก้าวข้ามสถานการณ์ในช่วงนั้นมา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นทั้งในพรรค พปชร.เองก็มีความก้าวหน้าทั้งการสานต่อนโยบายในการสร้างพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองมาโดยตลอด หลายๆ คนก็มีร่วมกัน
จนมาถึงวันนี้จะกล่าวได้ว่าภารกิจทั้ง 4 คน ได้บรรลุล่วงไปแล้ว ประกอบกับพรรค พปชร.มีคณะผู้บริหารใหม่ที่พร้อมจะนำพาพรรคให้เดินหน้าต่อไปได้
ทั้ง 4 คนขอโบกมือลา พปชร.
แม้นายอุตตมและกลุ่มแถลงข่าวลาออกจากพรรค พปชร.แต่ยังคงไม่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี โดยระบุว่าเรื่อง ครม. เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องปรับ ครม. ในทำนองว่า พร้อมปรับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า เคารพการตัดสินใจของสมาชิกพรรค พปชร.ทั้ง 4 คน ส่วนเรื่องการปรับตัวบุคคลใน ครม.นั้นขอให้ใจเย็นๆ
เมื่อมีการสอบถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการปรับ ครม.ในเดือนกันยายน พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธ
แต่เมื่อถามย้ำว่าช่วงเวลาที่นายกฯวางจะเป็นช่วงเดือนไหน
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
ผู้สื่อข่าวถามว่า 4 กุมารไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พปชร.แล้ว จะส่งผลต่อเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องกลไกภายในพรรค เพราะสัดส่วนในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมาจากพรรคการเมืองเป็นอันดับแรก โควต้าคนนอกก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นสมาชิก พปชร. ดังนั้นเรื่องสัดส่วนรัฐมนตรีจึงก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก
เมื่อถามว่า 4 คน ที่ลาออกจาก พปชร.ถือว่าเป็นโควต้าของนายกฯใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า เดิมก็เป็นเช่นนั้น และเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น วันนี้ต้องไปดูว่าโควต้าเหมาะสมแล้วหรือยัง ใครจะได้เพิ่ม ใครจะได้ลดอย่างไรก็ไปว่ากันอีกที
เมื่อถามว่า พูดได้หรือไม่ว่าการปรับ ครม.ครั้งหน้าจะเป็นการปรับใหญ่หรือจะปรับเฉพาะที่จำเป็น
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เท่าที่จำเป็น ใครที่เขาทำงานดีอยู่แล้วก็ให้ทำงานต่อ ที่ผ่านมาทุกคนทำงานดีทั้งหมด ไม่ได้ว่าใครไม่ดี เพียงแต่กลไกทางการเมืองและวิถีทางการเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จับเนื้อความจากบทสัมภาษณ์
พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มส่งสัญญาณปรับ ครม.
กระแสข่าวกดดันการปรับ ครม.มีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงชะลอความต้องการของบรรดา ส.ส.จากกลุ่มต่างๆ อยู่
กระทั่ง กลุ่ม 4 กุมารเคลื่อนไหว ทั้งการลาออกจากพรรค พปชร. และการหยุดผลักดันมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อรอความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี
เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องตัดสินใจในเรื่องการปรับ ครม. มิเช่นนั้นปัญหาเรื่อง “เกียร์ว่าง” จะกลายเป็นปัญหาของการขับเคลื่อนประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพิ่งฟื้นไข้โควิด-19 และกำลังตั้งลำเพื่อเดินหน้าทางเศรษฐกิจ ทุกอย่างจำเป็นต้องมีผู้นำ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความจำเป็น
แต่ พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไร กับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล
จะตัดสินใจอย่างไรกับการปรับ ครม.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พล.อ.ประยุทธ์ออกโทรทัศน์ ปรับลุคของตัวเอง
พล.อ.ประยุทธ์ประกาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เรื่อง “วิธีการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี”
“จากนี้เป็นต้นไป การทำงานของรัฐบาล จะต้อง New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทำงานแบบใหม่ด้วย
หนึ่ง ‘ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย’ โดยดึงทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศหลังโควิด
ผมจะปรับวิธีการวางแผน และกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่างๆ เหล่านั้น ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น
ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้มากขึ้น
“อย่างที่สอง คือ ‘การประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง’ อย่างที่สามที่ต้องทำ คือ ‘การทำงานเชิงรุก’ ”
และจบท้ายด้วยการเชิญชวน
“ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตัดสินใจร่วมกันวันนี้ว่า เราจะเดินหน้าภารกิจที่สำคัญนี้ไปด้วยกัน”
นั่นคือภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” โดยคนไทยทุกคน
หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ดำเนินการตามภารกิจ
การเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่นั่งฟังและลุกขึ้นตอบคำถามของ ส.ส.
การออกเดินสายพบปะสื่อมวลชนถึงสำนักงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและสัปดาห์ที่จะถึงนี้
การพบปะสื่อมวลชนก็เพื่อรับฟังความคิด
หนึ่ง ประเด็นที่คนไทยและประเทศไทยควรให้ความสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน
หนึ่ง ปัจจัยที่จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความสำเร็จ
เป็นการเปิดฉากภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ต้องรอดูผลสุดท้ายว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด