อัยการชี้2ปมใหม่คดี‘บอส’ ความเร็วรถ-โคเคน แจ้งตำรวจฟันอาญา

อัยการชี้2ปมใหม่คดี‘บอส’ ความเร็วรถ-โคเคน แจ้งตำรวจฟันอาญา

อัยการชี้2ปมใหม่คดี‘บอส’ ความเร็วรถ-โคเคน แจ้งตำรวจฟันอาญา

หมายเหตุผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ที่นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด แต่งตั้งขึ้นโดยมีนายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ เพื่อตรวจสอบว่าการพิจารณาสั่งสำนวนคดีดังกล่าว

⦁เกี่ยวกับคดีนี้มีข้อเท็จจริงเบื้องต้นดังนี้
1.คดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจทองหล่อ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2556 คดีระหว่าง พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี ผู้กล่าวหา นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ต้องหาที่ 2
– นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกกล่าวหาว่า
(1) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหาย
(2) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(3) ขับรถในทางก่อความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
(4) ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(5) ขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
– ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกกล่าวหาว่า ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย
เหตุเกิด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 05.20 น. ที่แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ

2.พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีดังกล่าวให้พนักงานอัยการพร้อมสรุปสำนวนเสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหา
(1) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหาย
(2) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(3) ขับรถไปในทางเสียหายแก่บุคคลไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหา
(1) ขับรถขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(2) ขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
สำหรับ ด.ต.วิเชียร ผู้ต้องหาที่ 2 เสนอเห็นควรสั่งไม่ฟ้องในข้อหาขับรถโดยประมาทชนรถอื่นได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย

Advertisement

3.ความเห็นและคำสั่งของพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้
3.1 สั่งฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหา
(1) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหาย
(2) ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(3) ขับรถไปในทางเสียหายแก่บุคคลไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและ
(4) ขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (แย้งความเห็นพนักงานสอบสวน)
สั่งไม่ฟ้องข้อหาขับรถขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ตามพนักงานสอบสวนเสนอ และ ผบ.ตร.เห็นชอบแล้ว)
3.2 สั่งยุติดำเนินคดี ด.ต.วิเชียร ผู้ต้องหาที่ 2 เสนอเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ในข้อหาขับรถโดยประมาทชนรถอื่นได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย

4.ภายหลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งตามข้อ 3 แล้วนายวรยุทธไม่มาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัดทำให้ไม่สามารถยื่นฟ้องได้ และต่อมาทำให้ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหาย ขับรถไปในทางเสียหายแก่บุคคลไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขาดอายุความ

5.ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเสนอ ผบ.ตร.แล้ว ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง เป็นผลให้คำสั่งไม่ฟ้อง เสร็จเด็ดขาด

Advertisement

6.ผลการตรวจสอบของคณะทำงาน มีดังนี้
6.1 การพิจารณาสั่งสำนวนคดีดังกล่าวเป็นไปตามหลักกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร
คณะทำงานเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 7 วรรค 4 กำหนดให้มีการแบ่งหน่วยงานราชการและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานราชการภายในสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กร ต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีประกาศของคณะกรรมการอัยการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงานและกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.2554 โดยแบ่งหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุดแยกตามภารกิจรวม 60 ประเภทสำนักงาน เช่น สำนักงานคดีอาญา สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานคดีศาลแขวง สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด เป็นต้น

ในการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของสำนักงานอัยการสูงสุดดังกล่าว อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบและมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ซึ่งการออกคำสั่งมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้ รองอัยการสูงสุดดังกล่าว อัยการสูงสุดทุกคนถือเป็นแนวทางปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อปี 2562 ถึงปี 2563 ได้มีคำสั่งสำนักงานสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 1515/2562 เรื่อง การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดทั้ง 8 คน ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เช่น มอบอำนาจและมอบหมายให้ นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบงานคดีอาญา นายสมโภชน์ ลิ้มประยูร รองอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบงานชี้ขาดความเห็นแย้งของพนักงานอัยการ ภาค 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 นายไพบูลย์ ถาวรวิจิตร รองอัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบงานชี้ขาดความเห็นแย้งของพนักงานอัยการภาค 7, 8 และ 9 และ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นผู้รับผิดชอบงานคดีอัยการสูงสุด งานคดีกิจการอัยการสูงสุด เฉพาะงานคดีร้องขอความเป็นธรรม และงานคดีศาลสูง เป็นต้น

และตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 27 กำหนดให้อัยการสูงสุดมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและรับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอาจมอบหมายให้รองอัยการสูงสุดหรือข้าราชการฝ่ายอัยการปฏิบัติแทนก็ได้ ซึ่งการที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้รองอัยการสูงสุดแต่ละท่านปฏิบัติราชการแทนดังกล่าวเป็นไปตามกรอบและบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว และตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 ยังบัญญัติให้อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีในทุกศาล ทั่วราชอาณาจักร

นอกจากนี้ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 51, 52 ยังได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการแต่ละชั้นให้มีอำนาจหน้าที่สั่งคดีไว้โดยชัดเจนซึ่งพนักงานอัยการแต่ละคนจะมีความเป็นอิสระในการสั่งคดีภายใต้ระเบียบ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ดังกล่าว เป็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 248 ที่บัญญัติรับรองให้พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง

เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ร้องขอความเป็นธรรมซึ่งมีข้อเท็จจริงและพยานบุคคลที่ระบุแจ้งชัด กรณีจึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 ซึ่งกำหนดให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อที่จะรู้ตัวผู้ที่กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา และยังเป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 48 ที่ให้ผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้องในคดีสามารถร้องขอความเป็นธรรมได้

พนักงานอัยการจึงมีการสอบสวนเพิ่มเติมตามที่ร้องขอความเป็นธรรม และการที่นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดในการกำกับดูแลและรับผิดชอบงานคดีร้องขอความเป็นธรรม การพิจารณาสั่งสำนวนคดีนี้ของนายเนตร นาคสุข จึงเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องดังกล่าว

6.2 ผู้สั่งคดีมีเหตุผลในการพิจารณาสั่งคดีอย่างไร
คณะทำงานพิจารณาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน จากนั้นได้พิจารณาความเห็นและคำสั่งของนายเนตร นาคสุข แล้วมีความเห็นว่า นายเนตร นาคสุข ได้มีความเห็นและคำสั่งคดีนี้ ไปตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและสอบสวนเพิ่มเติมซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวน ไม่ได้นำพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือที่ไม่ได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนมาสั่งคดี หรือเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปตามอำเภอใจรวมทั้งมีเหตุผลประกอบตามสมควร

และภายหลังที่มีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้มีการเสนอสำนวนให้ ผบ.ตร.ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อพิจารณาอันเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลการสั่งคดีของพนักงานอัยการ ซึ่งต่อมา ผช.ผบ.ตร.ได้มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว คณะทำงานเห็นว่าการสั่งคดีของนายเนตร นาคสุข เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว

7.ข้อเสนอแนะของคณะทำงาน
แม้คดีนี้จะมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว คณะทำงานตรวจพบว่าคดียังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือ เมื่อมีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถสอบสวนต่อไปได้ โดยคณะทำงานมีความเห็นว่า

7.1 คณะทำงานตรวจพบว่า ในสำนวนการสอบสวนมีการตรวจเลือดของนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในวันเกิดเหตุ และพบสารประเภทโคเคนในเลือด แต่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 58 ประกอบกับมาตรา 91 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 6 เดือนถึง 3 ปี (อายุความ 10 ปี)

7.2 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 และ ผบ.ตร.ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว อันเป็นผลให้คำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดตามกฎหมาย และห้ามมิให้ทำการสอบสวนอีกก็ตาม แต่ปรากฏพยานหลักฐานสำคัญคือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ได้ให้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อว่าขณะเกิดเหตุ ดร.สธนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุคดีนี้ได้รับการประสานงานจาก พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น ให้ไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุ และดูกล้องวงจรปิด วัตถุพยาน ที่บันทึกภาพรถของผู้ต้องหาที่ 1 พร้อมคิดคำนวณความเร็วของรถที่แล่นไปขณะเกิดเหตุ

โดย ดร.สธนได้ทำรายงานการคิดคำนวณส่งให้กับกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อใช้ประกอบคดีโดยยืนยันว่าขณะเกิดเหตุรถของผู้ต้องหาที่ 1 แล่นไปด้วยความเร็วประมาณ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงผ่านสื่อ จากการให้สัมภาษณ์ของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ให้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านคิดคำนวณหาความเร็วของรถ และได้คิดคำนวณ พร้อมให้ความเห็นทางวิชาการว่า ขณะเกิดเหตุรถที่ผู้ต้องหาขับขี่ไปน่าจะมีความเร็วไม่ต่ำกว่า 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ และเป็นพยานสำคัญที่จะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาที่ 1 ได้ ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147

ทั้งสองประเด็นดังกล่าว คณะทำงานจึงมีความเห็นและนำกราบเรียนอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณา แจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image