โจเซฟ อาร์. ไบเดน ไม่ใช่นักการเมืองหน้าใหม่ ไม่ใช่นักพูดตัวยง แต่ยังเคย ‘ติดอ่าง’ ด้วยซ้ำในสมัยเป็นเด็ก แถมยังไม่ใช่นักการเมืองที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน แต่เมื่อตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีที่เต็มไปด้วยลีลาแพรวพราว มีทักษะการพูดในระดับ ‘เซียน’ ที่รู้จักกันดีในแวดวงบันเทิง และสังคมชนชั้นสูง ไบเดนกลับถูกยกให้เป็น ‘ตัวเก็ง’ ที่จะได้รับชัยชนะ
แต่ชัยชนะของไบเดน ไม่ได้ได้มาโดยง่ายดายเหมือนกับที่หลายฝ่ายกะเก็งกันไว้ ตรงกันข้าม กลับสร้างประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่สุดสูสีคู่คี่และใช้เวลานานที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน
นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การเมืองบางคน ถึงกับยกย่องว่าชัยชนะของไบเดนที่มีเหนือ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของพรรคเดโมแครต เทียบเท่ากับเมื่อครั้ง ‘เอฟดีอาร์’ แฟรงกลิน ดี. รูสเวลท์ ได้รับชัยชนะในยุคต้นของศตวรรษที่ 20
ต่อไปนี้คือเรื่องราวหลายๆ ส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวตนของ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ที่ครองอำนาจสูงสุดในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกในปัจจุบัน
ชีวิตส่วนตัว
โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ ที่ถูกเรียกกันสั้นๆ ว่า โจ ไบเดนเกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1942 และจะอายุครบ 78 ปีเต็มในวันที่ 20 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
ไบเดน เกิดที่เมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ครอบครัวจะโยกย้ายมาอยู่ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อไบเดน อายุเพียง 10 ขวบ สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์จากวิทยาลัยกฎหมายในสังกัดมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ สหรัฐอเมริกา แต่หันมายึดอาชีพนักการเมืองเต็มตัวตั้งแต่อายุ 24 ปี
โจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกมลรัฐเดลาแวร์ครั้งแรก เมื่อปี 1972 ท่ามกลางโศกนาฏกรรมของครอบครัว เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับรถยนต์ของครอบครัว ทำให้ ไบเดน สูญเสีย
‘เนเลีย’ ภรรยาคนแรกและ นาโอมิ ลูกสาววัยแบเบาะ และจำเป็นต้องสาบานตนรับตำแหน่งในห้องพยาบาล ขณะที่ดูแล ‘โบ’ และ ‘ฮันเตอร์’ ลูกชายอีก 2 คนในวัยกำลังซนที่ได้รับบาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนั้น
โจ ไบเดน แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ จิล นักการศึกษาระดับดอกเตอร์ ที่เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่นอร์เธิร์น เวอร์จิเนีย คอมมิวนิตี้ คอลเลจ ในเวลานี้ ซึ่งผ่านการหย่าร้างมาแล้วเช่นกัน
ไบเดน ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกต่อมาอีก 5 สมัย เคยลงสมัครเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคเพื่อเป็นตัวแทนเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 1988 และ 2008 ตามลำดับ ก่อนที่บารัค โอบามา ผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปี 2008 จะเลือกไบเดน ให้เป็นรองประธานาธิบดี
นั่นหมายถึงว่า โจ ไบเดน คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองอเมริกันมายาวนานถึง 48 ปี มีประสบการณ์หลากหลายทั้งในรัฐสภา และในทำเนียบขาว ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้
‘มิดเดิลคลาส โจ’
สมญานามทางการเมืองที่ไบเดนได้รับในช่วงเวลาที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเมืองมานานเกือบครึ่งศตวรรษ คือ ‘มิดเดิลคลาส โจ’ ที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลางซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ทั้งๆ ที่ใช้ชีวิตเป็น ‘บุคคลสาธารณะ’ มาตลอดครึ่งศตวรรษ
ประสบการณ์ทางการเมืองและภายในฝ่ายบริหารของประเทศนี่เอง ที่ทำให้ไบเดนถูกมองว่าเป็นคนที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสถานการณ์ไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศในเวลานี้
ไบเดน เคยพยายามลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เคยประสบผลสำเร็จแม้ในการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรค
ครั้งแรกในปี 1988 ลงเอยด้วยการประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันหลังจากไบเดน ยอมรับว่า แอบคัดลอกสุนทรพจน์ของ นีล คินน็อค หัวหน้าพรรคแรงงานอังกฤษในเวลานั้นมาใช้ในการหาเสียง
ครั้งที่สอง ก็เป็นการถอนตัวในระหว่างการเลือกตั้งขั้นต้นเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเข้าร่วมทีมกับประธานาธิบดีโอบามา ในฐานะรองประธานาธิบดี
8 ปีของการทำงานในทำเนียบขาวกับ บารัค โอบามา เป็นช่วงที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับไบเดน มากที่สุด ไม่เพียงจากการปรากฏตัวคู่กับ
โอบามาบ่อยครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะอิทธิพลของไบเดนที่มีต่อแนวนโยบายที่กลายเป็นมรดกตกทอดของโอบามาต่อสังคมอเมริกัน ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘รัฐบัญญัติประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้’ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘โอบามาแคร์’ ซึ่งได้รับการผลักดัน ‘เป็นการส่วนตัว’ อย่างมหาศาลจากไบเดน จนประสบผลสำเร็จในที่สุด
เชื่อกันว่าความเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเข้าใจในความเดือดร้อนของผู้อื่น ที่เป็นบุคลิกประจำตัวของ โจ ไบเดน นั้นสืบเนื่องมาจากโศกนาฏกรรมในครอบครัว ทั้งครั้งแรกที่สูญเสียภรรยาและลูกสาว และครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2015 อันเนื่องจากการเสียชีวิตของโบ ไบเดน ลูกชายคนโต จากมะเร็ง
ประสบการณ์การทำงานร่วมกับโอบามาได้ดี มีความสนิทสนมกับผู้นำผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันเหมือน ‘พี่น้อง’ ส่งผลดีต่อเนื่องต่อความนิยมของคนผิวสีและชุมชนแอฟริกันอเมริกันในสหรัฐอเมริกาในการเลือกตั้งครั้งนี้
โลกทัศน์ของโจ ไบเดน
ประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปีในวุฒิสภา สหรัฐอเมริกา ทำให้ โจ ไบเดน เชื่อมั่นสูงมากต่อการดำเนินการทางการเมืองแบบไม่เห็นแก่พรรค แต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก
โจ ไบเดน เป็นผู้ยืนกรานให้เดโมแครตหยิบยื่นไมตรีไปยังสมาชิกวุฒิสภารีพับลิกัน แม้ในห้วงเวลาที่คนในเดโมแครตเองมองไม่เห็นแม้แต่คนที่จะเจรจาต่อรองด้วยในพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม
ไบเดน ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ ของวุฒิสภา ได้รับความเชื่อถือในแง่มุมด้านการต่างประเทศอยู่ไม่น้อย ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันผู้นี้ ยังกล่าวสุนทรพจน์ไว้บ่อยครั้ง ว่าด้วยการแสดงบทบาทและปกป้องการเป็นผู้นำบนเวทีโลกของสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศในสหรัฐอเมริกาหลายคนระบุตรงกันว่า โจ ไบเดน ไม่ใช่นักการต่างประเทศที่เชี่ยวกราก และยืนกรานเด็ดเดี่ยวตามความคิดเห็นส่วนตัว หากแต่เป็นคนที่พร้อมที่จะรับฟัง โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาแวดล้อมใกล้ชิด
เจมส์ โทรบ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อไบเดนพูดถึงการฟื้นฟู ‘จิตวิญญาณอเมริกัน’ สร้างสหรัฐอเมริกาให้กลับมา
‘ทรงเกียรติภูมิ’ อีกครั้งในเวทีระหว่างประเทศนั้น
ไบเดนไม่ได้จำกัดเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศไว้เพียงแค่เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย หรือ สิทธิมนุษยชนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องการฟื้นฟูเกียรติภูมิของอเมริกันขึ้นมา เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือ การรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาพร้อมกันไปด้วยนั่นเอง
นักวิชาการบางคนเปรียบเทียบโลกทัศน์ของไบเดนว่า จัดอยู่ในระนาบเดียวกันกับประธานาธิบดีอย่าง แฮรี่ เอส. ทรูแมน หรือ ฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ ในอดีตที่ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่ม ‘เสรีนิยมสงครามเย็น’
นั่นหมายความว่า ไบเดนไม่ใช่คนที่จะลงมือดำเนินการในด้านการต่างประเทศ เพื่อ ‘โลกและประเทศชาติอื่นๆ’ เพียงอย่างเดียวเด็ดขาด
ในอีกทางหนึ่ง การดำรงสถานะนักการเมืองมาช้านาน ทำให้ เชื่อกันว่าไบเดนอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่ต้องมี ‘การประนีประนอม’, การจำกัดความเสียหาย และการต่อรองแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันไม่น้อย
แดเนียล เบนาอิม อดีตผู้เขียนสุนทรพจน์ให้ไบเดน ที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษานโยบายตะวันออกกลางของว่าที่ประธานาธิบดี ชี้ให้เห็นว่า ไบเดนเข้าใจดีถึงความหมายของการต่อรอง เข้าใจถึงความกลัว ความกังวลของชาติอื่นไม่ว่าจะในแง่มุมทางการเมือง หรือทางมนุษยธรรม
‘นั่นทำให้ไบเดนเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการกำหนดยุทธวิธีและนำเอานโยบายด้านการต่างประเทศมาใช้ปฏิบัติ’ เบนาอิม
ระบุ
วิลเลียมส์ เบิร์นส์ นักการทูตอาชีพชาวอเมริกันที่ผันตัวมาเป็นนักวิชาการประจำคาร์เนกี เอนดาวเมนท์ เชื่อว่าความแน่วแน่ มั่นคง แต่เห็นอกเห็นใจและเข้าใจชาติอื่นๆ จะเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างยิ่งของ โจ ไบเดน
ในขณะที่ชาติที่หุ้นส่วนและพันธมิตรกำลังตั้งแง่ สงสัย ไม่ไว้วางใจต่อการยึดมั่นในพันธสัญญาของสหรัฐอเมริกา คุณสมบัติที่ไม่เหมือนใครของ โจ ไบเดน จะช่วยเป็นหลักประกันให้กับหุ้นส่วนเหล่านั้นได้ดียิ่ง
ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทุกชาติกำลังต้องการและรอคอยอยู่ในเวลานี้