หากติดตามความเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นไปจากการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตที่เริ่มเกิดขึ้นในทุกด้านของประเทศ จะพบว่ามีการขยายตัว และมีแนวโน้มที่่รุนแรงมากขึ้น
ไม่เพียงการนัดชุมนุมในท้องถนน พากันเคลื่อนไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ มีกลุ่มจัดตั้งต่างๆ เข้าร่วมหลากหลาย ด้วยรูปแบบมีประชาชนเข้าร่วมมากขึ้น
ยังมีการออกมาแสดงตัวของประชาชนหลายสาขาอาชีพที่ท่าทีชัดเจนว่า “ไม่ไหวแล้วกับรัฐบาลชุดนี้”
นั่นเป็นแนวโน้มเชิงปริมาณ ขณะที่ในเชิงความรุนแรงนับวันจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น โดยปรากฏการณ์ของความรุนแรงไม่เพียงเกิดขึ้นจากฝั่งผู้ชุมนุมเท่านั้น แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนยุทธวิธีที่เคยใช้การตั้งรับเป็นหลัก มาเป็นการรุกเพื่อสลายอย่างรวดเร็วแทน
ซึ่งตรงนี้เองที่เป็นประเด็นให้วิเคราะห์ว่าจะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น
ในเรื่องของการชุมนุมประท้วง การเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เรียกกันว่า “การเมืองบนท้องถนน” นั้น สิ่งหนึ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องรักษาไว้คือ ต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบ การควบคุมจะต้องเป็นเพื่อหยุดยั้งความรุนแรง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีปรากฏการณ์ของความไม่สงบเกิดขึ้นตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเผารถ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ การก่อกวนโดยไม่ได้นำเสนอความต้องการใดๆ
ปฏิบัติการของมวลชนหลังจากแกนนำสั่ง “ยุติการชุมนุม” ออกมาในทางยั่วยุเจ้าหน้าที่
เหมือนเป็นการตอบโต้ด้วยโกรธแค้นที่ถูกกระทำมาก่อนหน้านั้น
เป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความต้องการระบายความอัดอั้นตันใจ ด้วยรูปแบบที่กล้าแบบบ้าบิ่น พร้อมเอาร่างกายเข้าแลกกับการปราบปรามที่่จะเกิดขึ้น
ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ปกติ ผู้บังคับบัญชาจะเตือนให้เน้นความอดทน ใช้วิธีกดดัน ไม่ใช้วิธีปะทะ เว้นเสียแต่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ทุกฝ่ายต้องทำเช่นนี้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น
การชุมนุมอย่างสงบ และปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ที่เน้นการป้องกันมากกว่าปราบปราม ใครละเมิดหลักการนี้เท่ากับทำผิดกฎหมาย
ทว่าการชุมนุมครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่อยู่ในหลักการนั้น
ทุกฝ่ายต่างปฏิบัติภารกิจนอกหลักการ
ท่าทียั่วยุให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง ของกลุ่มผู้มีความอัดอั้น และต้องการล้างแค้นเอาคืน
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังอย่างเห็นชัดว่าเกินจากความหมายของการป้องกัน
เรื่องราวเหล่านี้มีทั้งภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอปรากฏไปทั่วทุกช่องทางสื่อสารในโลกออนไลน์ หลักฐานที่ปรากฏนั้นสืบสวนได้ไม่ยากว่าใครเป็นใคร ทำอะไรในเหตุการณ์
นั่นหมายความว่าหากมีการฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดี อย่างน้อยจะเป็นความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองที่ใช้การชุมนุมโดยชอบด้วยกฎหมาย
และการกระทำเกินกว่าเหตุ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่กดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
ย่อมเป็นไปได้ถึงความกังวลว่า หลังการเปลี่ยนแปลงจะมีการ “เช็กบิล” ด้วยหลักฐานที่ดิ้นหนีได้ยากนั้น
ซึ่งหมายถึงอาจจะต้องสูญเสียอาชีพที่ดิ้นรนไขว่คว้าไว้ได้
ทำให้เป็นการทำหน้าที่แบบ “ตกกระไดพลอยโจน” ที่ง่ายจะเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่จะต้องจัดการให้เด็ดขาด ไม่ปล่อยมาเป็น “หอกข้างแคร่” ที่วกกลับมาทำร้ายภายหลังได้
ซึ่งเมื่อความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น ความน่าเศร้าก็ตามมา เนื่องเพราะต้องปกป้องตัวเอง ด้วยกังวลว่าจะมีความผิด
นั่นหมายถึง ความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเกิด
หากถามว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
คำตอบคือ “รัฐบาล” โดยเฉพาะ “นายกรัฐมนตรี” จะต้องรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่ที่จะแก้ไข โดยให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจ และยอมรับการทำหน้าที่ของกันและกัน
ไม่ใช่ “นายกรัฐมนตรี” ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
ในฐานะผู้นำ ไม่สมควรยืนอยู่ในฐานะสนับสนุนให้ฝ่ายหนึ่งทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง
แม้ว่าจะเป็นฝ่ายที่ออกมาต่อต้านตัวก็ตาม
การ์ตอง