เปิดศึกซักฟอกไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้านถลก-‘บิ๊กตู่’แจง

เปิดศึกซักฟอกไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้านถลก-‘บิ๊กตู่’แจง หมายเหตุ - ส่วนหนึ่ง

หมายเหตุส่วนหนึ่งของการอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดย ส.ส.จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน อภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารจัดการการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ล้มเหลว ผิดพลาด ขณะที่นายกฯ ชี้แจง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา

ประเสริฐ จันทรรวงทอง
ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.)

ขออภิปราย พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บริหารงานล้มเหลว 4 ด้าน ได้แก่ 1.ความล้มเหลวด้านการควบคุมโรคระบาด ประมาทคิดว่าตัวเองแน่ ตั้งแต่การระบาดต้นปี’63 นายกฯไม่ประเมินผล ส่วนนายอนุทิน ไม่กวดขันไม่รอบคอบไม่ระมัดระวัง ทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว

Advertisement

2.การจัดหาวัคซีนผิดพลาดล้มเหลว คาดการณ์สถานการณ์ผิดพลาด ไม่มีความกระตือรือร้นจัดหาวัคซีน เมื่อจัดหาก็จัดหาน้อยเกินไป และมีเจตนาไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่ต้น เนื่องจากไม่มีเงินทอนทำให้ประเทศเสียหาย โดยรู้เห็นเป็นใจกับนายอนุทิน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของภาคเอกชนในการขอนำเข้าวัคซีนทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า การบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการที่มีความล้าหลัง ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะขาดแคลนวัคซีน

3.ความล้มเหลวในการกระจายวัคซีน ที่มั่วทั้งระบบขาดความเป็นเอกภาพต่างคนต่างทำ บางจังหวัดไม่ได้เป็นพื้นที่สีแดงเข้มแต่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก

4.การบริหารงานในสถานการณ์วิกฤตมีการบริหารเหมือนสถานการณ์ปกติ แม้แต่ตัวนายกฯ ยังเวิร์กฟรอมโฮม ทำงานที่บ้านแบบไม่ทุกข์ร้อน และการสั่งข้อราชการที่ไม่มีความเด็ดขาด ทั้งหมดคือความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน ถามว่าพวกเขาทำผิดอะไร ทั้งที่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ช่วยแล้วยังกีดกันไม่อำนวยความสะดวก จนในที่สุดคนไทยมองไม่เห็นอนาคตว่าจะอยู่อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดที่คนไทยยอมรับไม่ได้เลย คือ การค้าความตายหากินบนความตายของประชาชนด้วยการจัดซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำแต่มีราคาแพง เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน โดยซื้อวัคซีนเพียงรายเดียว ผูกขาดตัดตอนขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนเส้นใหญ่

Advertisement

หลักฐานจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขที่ทนต่อการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทินไม่ไหว ได้มอบข้อมูลการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคที่แสดงให้เห็นถึงแผนการนำเข้า ราคาซื้อต่อโดส และราคาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ การจัดซื้อครั้งที่ 1 มีแผนการนำเข้า 2 ล้านโดส นำเข้าได้จริง 1.9 ล้านโดส ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส

จัดซื้อครั้งที่ 2 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 15.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส จัดซื้อครั้งที่ 3 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 14.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส จัดซื้อครั้งที่ 4 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.5 เหรียญสหรัฐต่อโดส และจัดซื้อครั้งที่ 5 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า ราคาตามที่ ครม.อนุมัติในการจัดซื้อทั้ง 5 ครั้ง คือ 331,500,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 10,846,680,000 บาท ส่วนราคาที่จัดซื้อจริง คือ 267,364,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 8,748,150,080 บาท ทำให้เกิดส่วนต่างในการจัดซื้อทั้งสิ้น 2,098,529,920 บาท

หลักฐานการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคจากบันทึกการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อการแก้ไขปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภค ในคณะ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 ที่ระบุว่า มีการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 5 ครั้ง พบว่า ราคาที่ ครม.อนุมัติทั้ง 5 ครั้ง คือ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส แต่ราคาซื้อจริงครั้งที่ 2-5 ราคาลดลงตามลำดับตรงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ให้มาจึงอยากถามถึงเงินส่วนต่างว่าหายไปไหน

ส่วนการทำสัญญากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้านั้นเป็นการทำสัญญาที่ผูกขาด ตัดตอน ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้รัฐเสียเปรียบ แรกเริ่มการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็นความร่วมมือระหว่าง SCG กับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่ที่แปลก คือ รัฐมีโรงงานผลิตวัคซีนที่ทันสมัย แต่ทำไมไม่มอบให้โรงงานแห่งนี้ที่รัฐเป็นเจ้าของผลิต ผมไม่เข้าใจ

ขอตั้งข้อสังเกตถึงความผิดพลาดในการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ประการแรก รัฐบาลแทงม้าตัวเดียว ไม่ยอมบริหารความเสี่ยง ทั้งที่ควรจะมีการสั่งซื้อวัคซีนในหลายทางเลือกให้กับประชาชน

ประการที่สอง สัญญาซื้อขายเสียเปรียบบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า UK เพราะต้องสั่งซื้อล่วงหน้า และต้องจ่าย 60% ของมูลค่าการสั่งซื้อ หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ก่อนด้วย และในสัญญายังระบุอีกว่าหากผลิตไม่ได้ก็ต้องสูญเงินจำนวนดังกล่าว

การผลิตวัคซีนแอสตร้าฯ ทุกสามล้านโดสนั้น 1 ล้านโดสแบ่งให้ประเทศไทย และ 2 ล้านโดสนำไปฉีดให้ต่างประเทศ ถามว่าทำสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ทำสัญญาอย่างนี้คนไทยถึงไม่ได้ฉีดวัคซีนสักที คนไทยได้ฉีดวัคซีนที่สามารถผลิตเองในประเทศ น้อยกว่าคนต่างประเทศ ต้องให้ประชาชนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนที่เพียงพอก่อน ค่อยเอาไปจัดสรรให้คนต่างประเทศ

ประการที่สาม ความสับสนในการทำสัญญาระหว่างบริษัทแอสตร้าฯกับทางการไทย ตามเอกสารในวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่บริษัทเขียนถึงนายอนุทิน ระบุว่า การกำหนดการผลิตวัคซีนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จะทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับวัคซีนประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ขึ้นอยู่กับผลิตผลของสารที่ใช้ในการผลิตวัคซีน และท้ายจดหมายยังระบุว่า บริษัทแอสตร้าฯแนะนำให้ไทยเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ เนื่องจากโครงการนี้มีวัคซีนแอสตร้าฯอยู่ด้วย แต่นายอนุทิน ได้ทำเอกสารตอบกลับวันที่ 30 มิถุนายน 64 ถึงบริษัทแอสตร้าฯว่า ไทยคาดว่าจะได้รับวัคซีนมากกว่า 1 ใน 3ของการจัดส่งจากแอสตร้าฯ หรืออย่างน้อย 10 ล้านโดสต่อเดือนสำหรับการใช้ในประเทศ ดูเอกสารการโต้ตอบแล้ว เกิดความสับสนว่า กระทรวงสาธารณสุขสั่งวัคซีนไม่พอเพียง หรือบริษัทแอสตร้าฯส่งของไม่ครบตามสัญญา สงสัยว่าปัญหาวัคซีนขาดแคลนเกิดจากฝ่ายไหนกันแน่ ทุกวันนี้ประชาชนจึงไม่เชื่อใจรัฐบาล

ผมขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน จงใจปฏิบัติ ละเว้นการปฏิบัติ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ ขาดความรอบคอบและขาดความระมัดระวัง นอกจากนี้ นายกฯและนายอนุทิน ร่วมกันจัดหาและจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ส่อไปในทางทุจริต ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แสวงหาประโยชน์จากการจัดซื้อวัคซีน บนความตายของประชาชน ทั้งยังกีดกันวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อมิให้คนไทยได้มีโอกาสฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง

ข้อเรียกร้องของประชาชน ที่ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เพราะเห็นว่าท่านไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตนี้ได้ ถ้าอยู่ต่อ เกรงว่าประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ ข้อเรียกร้องของภาคเอกชน ที่ไม่ทน ขอให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนได้จัดซื้อวัคซีนโดยตรง เพราะไม่สามารถคอยความหวังจากรัฐบาลได้ แม้กระทั่งจดหมายจากเพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ส่งถึงลูกสาวนายกฯ ที่เขียนบอกให้คุณพ่อลาออกนั้น เป็นสัญญาณที่ประชาชนแสดงออกมาว่าเขาไม่ต้องการท่านแล้ว

ศิริกัญญา ตันสกุล
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.)

ไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยข้อกล่าวหาคลั่งอำนาจ จนพาเศรษฐกิจชาติต้องลงเหว ขอแสดงความยินดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประเทศไทยติดอันดับในหลายเรื่อง ทั้งติดอันดับโลกของประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุดในโลก ธนาคารแห่งประเทศไทยก็บอกว่า เศรษฐกิจจะกลับมาโตในแทร็กเดิม ก่อนโควิด-19 อีกครั้งในปี 2570 แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกฯ อยู่ คิดว่าอาจจะต้องนานกว่านั้น

โควิด-19 อยู่กับเรามาเกิน 18 เดือนแล้วมีคนที่ตกงานมาตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงขณะนี้ยังหางานใหม่ไม่ได้กว่า 170,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าก่อนช่วงโควิด-19 ถึง 3 เท่า หากตกงานไปนานๆ ก็จะออกจากระบบแรงงานไปในที่สุด และตัวเลขเด็กจบใหม่ที่ยังหางานไม่ได้ประมาณ 290,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงโควิด-19 ประมาณ 85,000 คน

ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นแบบนี้ และการแก้ปัญหาแบบนี้ จะทำให้แทบทุกคนมีรายได้ลดลง จะทำให้รายได้ครัวเรือนคงจะไม่เพิ่มขึ้น และอาจหายไปอีกเกือบ 1 ล้านล้านบาท รวมปี 2563 ถึง 2565 รายได้อาจจะหายไปเกือบ 3 ล้านล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกว่า หลุมรายได้ แต่ขอเรียกว่า เหวรายได้มากกว่า เป็นผลมาจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล

เงินที่รัฐบาลกู้ไปแล้ว 1.5 ล้านล้านบาทนั้น คงต้องบอกว่าไม่พอที่จะทำให้เหวรายได้ของประชาชนตื้นขึ้น เพราะถูกใช้ไปอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง นักบินต้องหันไปขับแกร็บ หลายกิจการก็ต้องแพ้ นำเงินเก็บก้อนสุดท้ายควักออกมาใช้หมดแล้วจึงได้แต่แพ้ แต่สิ่งที่รัฐบาลหยิบยื่นให้อย่างเดียวคือ หนี้ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ กลับมีกำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า แถมบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ยังจ่ายปันผลได้เฉลี่ยละ 2.4% ในขณะที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้จ้างงานเพิ่มขึ้นเลย และยังลงทุนลดลงด้วย

สรุปแล้ววิกฤตครั้งนี้คือวิกฤตของคนจนชัดๆ เพราะแบบนี้ใช่หรือไม่จึงยังมีคนได้ประโยชน์อยู่ นายกฯ จึงเพิกเฉยต่อปัญหารายได้ของประชาชนรากหญ้า คนรวยและนายทุนขนเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ สูงเป็นประวัติการณ์ ตอนปี 2562 หรือก่อนโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาต้นปี 2564 เฉพาะไตรมาส 1 ขนออกไปลงทุนแล้ว 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% เพราะคนรวยเห็นแล้วว่า ประเทศนี้ไร้อนาคต ภายใต้การปกครองของนายกฯ ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นี่คือความเหลื่อมล้ำที่อัปลักษณ์ที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่าง คนจนกับคนรวย คนจนมีปัญหามาก หากต้องการจะตรวจเชื้อโควิด-19 ก็หาชุดตรวจยาก บางคนติดโควิด-19 ก็ไม่มีเตียง หลายคนต้องเสียชีวิตไปก่อนด้วยซ้ำ ความอัปลักษณ์นี้เห็นตำตาอยู่ทุกวันว่า สถานการณ์แบบนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่นอน ถ้าไม่ได้มีผู้นำที่ห่วงอำนาจอย่างทุกวันนี้

หลายฝ่ายเสนอแนะแนวทางให้กู้เงินเพิ่ม แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่กล้ากู้เงินมาเพิ่มให้ทันกาล ทุกวันนี้ยังไม่กล้าแก้กรอบเพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 60% เพราะกลัวโดนโจมตีทางการเมือง กลัวเสียคะแนนนิยม กลัวโดนเพื่อนล้อว่าเก่งแต่กู้ หรือเป็นนักกู้สู้ 10 ทิศ วิกฤตครั้งนี้หนักหนากว่าทุกครั้ง ประชาชนจะลืมตาอ้าปากอีกครั้งไม่ได้ ถ้าไม่มีมาตรการความช่วยเหลือหรือการอัดฉีดกระตุ้นมากพอ นายกฯต้องหยุดขโมยอนาคตของประเทศ

จึงขอยกตัวอย่างเสนอแนะต่อนายกฯ เช่น กรณีรัฐมนตรีของประเทศมองโกเลียลาออก เพราะประชาชนประท้วงที่ไม่สามารถจัดการโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียก็ลาออกเพราะจัดการโควิด-19 ล้มเหลว กรณีสุดท้ายคือ นายกรัฐมนตรีสวีเดนพ้นจากตำแหน่ง เพราะพ่ายโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

หลายอย่างเราคิดไม่ตรงกัน เพราะประสบการณ์ต่างกัน ท่านเป็น ผบ.ตร. ส่วนผมเป็นนายกฯ ในการจัดทำงบประมาณ ที่ท่านบอกว่ารัฐบาลทำแบบขาดดุลไม่มีความก้าวหน้า ใช้เงินเพื่อปูพื้นฐานทางการเมือง ท่านรู้ดีเหลือเกิน เพราะผมไม่เคยทำแบบนี้ งบประมาณเอามาใช้ตามสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสิ้น ส่วนงบกลางก็เป็นแผนการใช้จ่ายตามระเบียบ ไม่สามารถไปชี้นิ้วอะไรได้เลย ทุกอย่างผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบทุกประการ ไม่อยากมีปัญหาแบบก่อนหน้านั้นที่มีเรื่องทุจริต อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของประเทศไทยในระดับประเทศยังดีอยู่มาก เวิลด์แบงก์ประเมินสถานะการเงิน การคลัง ของไทยยังดีอยู่เช่นเดิม การจะกู้หรือจะใช้เงินเขารับรองให้หมด เราจะทำเท่าที่จำเป็นในสถานการณ์โควิด-19

วันนี้ต้องใช้โอกาสที่บ้านเมืองเราสงบสุข มีเสถียรภาพ มีความมั่นคง ไม่ใช่สนับสนุนให้มีความวุ่นวาย ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อให้ประชาชนรักนั้น อยากบอกว่าผมจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ ขึ้นอยู่กับกระบวนการประชาธิปไตย ไม่สามารถไปหลอกล่อใครได้ ตอนนี้ประชาชนเปิดหูเปิดตามากขึ้นแล้ว

ผมนึกถึงประชาชนทุกวัน ที่ต้องทำงานแบบเวิร์กฟรอมโฮม และต้องกักตัว 14 วันจริงๆ เพราะคนที่ถ่ายรูปข้างผมติดโควิด ผมทำงานทุกวันที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เป็นการประชุมออนไลน์คุยกันผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ติดต่อกันทุกวัน การทำงานเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นโลกยุคใหม่แล้ว

ส่วนเรื่องเงินทอนการจัดซื้อวัคซีน ท่านไปหามาว่าใครได้ ผมยอมรับการตรวจสอบทุกชนิด อย่าบอกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ถูกตรวจสอบที่ผ่านมามีการตรวจสอบทั้งหมด ผมคิดว่าท่านเข้าใจอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ และที่บอกว่าท่านใช้เงินส่วนตัวช่วยเหลือประชาชนมากกว่าผม ทุกวันนี้ผมรับแต่เงินเดือน ไม่มีลูกหลานทำธุรกิจอะไรใช้แต่เงินเดือนเท่านั้น และผมสวดมนต์ทุกวัน ดังนั้นจะไม่ทำอะไรที่ผิด ที่จริงตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องชี้แจง ที่ต้องพูดเพราะเห็นว่าผู้อภิปรายเป็นรุ่นพี่ แต่ท่านก็ตำหนิน้องท่านมากไปหน่อย จะให้ฝ่ายค้านมาชมผมก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่อยากให้คำนึงถึงความจริง

อยากฝากไปถึงประชาชนที่ฟังอยู่ ให้ดูหน้าผม ผมพูดจากหัวใจ จากสมองที่ท่านบอกว่าน้อยนิดของผม แต่ท่านอย่าลืมว่าผมมีประสบการณ์ 6-7 ปีมาแล้ว นี่คือความแตกต่างที่ผมอาจจะรู้มากกว่าท่าน ส่วนเรื่องโควิดกับเศรษฐกิจต้องว่ากันต่อไป ส่วนเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน เราพยายามแก้ปัญหามาตลอด รายละเอียดต่างๆ รองนายกฯ พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว

ผมยืนยันรัฐบาลทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เป็นห่วงเป็นใยประชาชน และพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะมาตลอด ตอนที่รองนายกฯ ชี้แจงขอให้ท่านฟังด้วยก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่ก็ตรวจสอบ แต่ถ้าไปพูดข้างนอกอาจจะมีปัญหา ผมไม่ได้ขู่ เพราะแม้จะเป็นการพูดในสภา ก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image