ตั้งการ์ด-สร้างสมดุล รับมือ‘โอไมครอน’

ตั้งการ์ด-สร้างสมดุล รับมือ‘โอไมครอน’ หมายเหตุ - ความเห็นภาคเอกชน

หมายเหตุความเห็นภาคเอกชนต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อรับมือหากเกิดการระบาดระลอกใหม่

สุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

ส.อ.ท.ติดตามสถานการณ์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากมีการแพร่ระบาดรุนแรงจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอีกครั้งได้ ขณะนี้จึงมีความกังวล แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่แน่ใจในข้อมูลเอง บางกระแสระบุว่ามีการแพร่ระบาดค่อนข้างเร็ว แต่อัตราการเสียชีวิตก็ยังไม่ได้ถึงขั้นอันตรายมาก รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับตรวจเชื้อที่อาจใช้เอทีเคตรวจไม่พบ

Advertisement

เบื้องต้นภาครัฐได้มีการดูแล ด้วยการห้ามนักท่องเที่ยว 8 ประเทศเสี่ยงทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป น่าจะช่วยสกัดกั้นได้โดยยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเห็นว่ารัฐจำเป็นต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้อย่างชัดเจน รวมถึงวิธีในการดูแลป้องกันตัวเองที่ต้องทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องในการดูแลป้องกัน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ถึงข้อมูลข่าวสารของไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวให้ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อทำให้ทุกภาคส่วนได้มีการเตรียมพร้อมในการรับมืออย่างรอบด้าน รวมไปถึงภาครัฐที่จำเป็นต้องวางมาตรการในการดูแลและป้องกันเพื่อลดผลกระทบในภาพรวมไว้ด้วย

นอกจากนี้ มาตรการต่างๆ ของรัฐในการดูแลป้องกันการแพร่ระบาดภายในประเทศต้องทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง อาทิ การฉีดวัคซีน การป้องกันโควิด-19 รวมทั้งการดูแลในภาคอุตสาหกรรม โรงงานต่างๆ ให้เป็นไปด้วยดี ส่วนการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรัฐก็ได้มีการคุมเข้มมากขึ้น การพิจารณาอนุญาตหรือห้ามประเทศใดเข้ามาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ประเมินผลกระทบรอบด้าน ภายใต้ความปลอดภัยของคนไทย

ส.อ.ท.ยังพบปัญหาการลักลอบการเข้ามาตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล ดังนั้นรัฐควรเร่งขั้นตอนการนำเข้าแรงงานภายใต้การลงนาม (เอ็มโอยู) กับประเทศเพื่อนบ้านให้เร็วขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าไทยยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เป็นแรงงานระดับล่างค่อนข้างสูงหลังเปิดประเทศ ซึ่งการลักลอบตามแนวชายแดนยังคงมีขึ้นต่อเนื่อง จุดนี้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดดังนั้นจำเป็นที่รัฐต้องเร่งนำเข้าแบบถูกกฎหมายที่จะผ่านการคัดกรองโดยเร็วเมื่อมีแรงงานที่เพียงพอปัญหาดังกล่าวก็จะลดน้อยลง

Advertisement

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย

โอไมครอนเป็นสายพันธุ์น่ากังวล ไม่เพียงแต่ภาคเอกชน และประชาชนในประเทศไทยมีความกังวล แต่ทั่วโลกก็มีความกังวลเช่นกัน เนื่องจากยังได้รับทราบข้อมูลการแพร่ระบาดเพียงด้านเดียว ยังต้องรอดูท่าทีจากทางผู้ผลิตวัคซีน ว่าวัคซีนแต่ละยี่ห้อจะสามารถป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากความกังวลดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น การลงทุน และในภาคของการผลิตก็เริ่มชะงักงัน จากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวแล้วด้วย

หลังจากนี้คงต้องรอดูท่าทีจากผู้ผลิตวัคซีนอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ว่าวัคซีนที่มีอยู่จะสามารถป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้หรือไม่ ผลของการระบาดจะรุนแรงแค่ไหน จะมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์เดลต้าหรือไม่ และสายพันธุ์ใหม่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตมากขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ก็ได้รอว่าทางองค์การอนามัยโลกและสาธารณสุข จะประเมินผลและแจ้งผลอย่างเป็นทางการในทิศทางใดจึงจะสามารถประเมินได้ว่าในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 จะได้รับผลกระทบหรือไม่ต่อไป แต่มั่นใจว่าประเทศไทยยังตั้งการ์ดสูง ประชาชนส่วนใหญ่ยังสวมหน้ากากอนามัย และได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้แล้วด้วย จึงเชื่อว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงถึงขั้นรัฐบาลตัดสินใจประกาศล็อกดาวน์ประเทศแน่นอน แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

แม้ในประเทศไทยยังไม่พบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าว แต่ได้วางมาตรการเรื่องผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา คือ ไม่อนุญาตให้ผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกา เดินทางเข้าประเทศไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดีและเหมาะสมแล้ว ส่วนสิ่งที่ยังเป็นกังวลคือ การลักลอบเข้าประเทศจึงอยากให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตาและเฝ้าระวังปัญหานี้อย่างใกล้ชิด เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าปัจจุบันด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มพบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นนอกเหนือจาก 8 ประเทศดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องห้ามประเทศอื่นๆ เข้าประเทศไทย ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั่วโลกต้องช่วยกันส่งวัคซีนไปช่วยเหลือ 8 ประเทศดังกล่าว เพื่อเป็นการป้องกัน และทำให้การแพร่ระบาดเบาบางลงต่อไป

ส่วนประเทศไทยยังต้องยกการ์ดสูงต่อเนื่อง ยิ่งปัจจุบันมีการคลายล็อกในหลายธุรกิจมากขึ้นแล้ว ยิ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด อาทิ โควิดฟรีเซตติ้ง และการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ไหลลื่นไม่สะดุดอีกต่อไป

พัลลภ แซ่จิว
ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

ฝั่งยุโรปและญี่ปุ่นตื่นตัวกันมากกับกรณีนี้ ไทยเองก็ตื่นตัวเช่นกัน แต่จะต้องถึงขั้นปิดประเทศหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง ไม่กล้าฟันธงเลย เพราะเรามีการห้าม 8 ประเทศเสี่ยงสูงเข้าไปแล้ว แต่หากกลุ่มนี้เข้าไปยุโรป ตอนนี้ไม่มีใครทราบว่าระยะฟักตัวนานแค่ไหน และบังเอิญเขาผ่านเข้ามาเมืองไทย ซึ่งนี่คือโรคระบาดเลย ก่อนหน้านี้เรายังคิดกันว่าเดลต้าไม่น่าจะเข้ามาได้ ก็ยังมาได้

การตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ก็ต้องคิดหนัก เพราะเรากำลังดูกันว่าน่าจะเริ่มผ่อนคลายวันที่ 16 ธันวาคมนี้ เชื่อว่าคงจะต้องเลื่อนออกไปแน่ ในขณะที่คนจะมาเที่ยวเขาก็อยากให้อะไรมันง่ายๆ หรือตรวจแค่ ATK ก็น่าจะพอ แต่เชื่อว่าแพทย์คงไม่ยอมแน่ เพราะหากพบเชื้อโอไมครอนจะกระทบแรงแน่

สิ่งที่เราต้องทำคือ การเฝ้าระวังธุรกิจตัวเราเอง การ์ดต้องไม่ตกอย่างเด็ดขาด เพราะจากบทเรียนที่ผ่านมา และความไว้ใจในวัคซีน ทำให้เกิดการระบาดอีก ซึ่งตอนนี้เรากำลังหารือกันว่าวันที่ 1 ธันวาคม จะอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ก็จะทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิง ได้มีโอกาสทำธุรกิจ และทำให้เกิดการกลับมาใช้ชีวิตปกติสุข แต่สิ่งสำคัญคือ คนจะลืมตัว ลืมป้องกันตัวเองเพราะต้องยอมรับว่าทั้งโลกนี้มีคนที่ใส่ใจและไม่ใส่ใจอยู่ร่วมกัน หากไม่โชคร้ายก็แล้วไป แต่หากโชคร้ายแล้วทำให้เกิดการระบาดขึ้นมาอีก ถือว่าไม่คุ้ม เพราะจะเป็นสะเก็ดไฟตกในกองฟางอีก

คงต้องรอ 1 เดือนนี้น่าจะเห็นชัดเจนว่าจะไปในทิศทางไหน เพราะเรื่องโอไมครอนใหม่มาก ต้องฟังและตามข่าวตลอด บางคนก็บอกว่ารุนแรงและติดเร็วมาก แต่บางกระแสก็เห็นแย้ง จากผลของแพทย์ที่ทำตัวอย่างในกลุ่มคนหนุ่มหรืออายุน้อย แต่หากเกิดในกลุ่มเปราะบางหรือสูงอายุจะมีอาการขนาดไหน ถือว่าน่ากังวลใจ

กรด โรจนเสถียร
กรรมการสภาหอการค้าไทย

ขณะนี้ด้วยความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารก็ทราบกันโดยทั่วไปว่ามีประเทศใดบ้างที่มีการระบาดของโอไมครอน สำหรับในประเทศไทยยอมรับว่าหลายฝ่ายมีความหวั่นวิตกว่าเชื้อสายพันธุ์ใหม่อาจจะมีผลกระทบอีกครั้ง ขณะที่การระดมฉีดวัคซีนในประเทศถือว่ายังมีความจำเป็นต้องฉีดให้ครบ 100 ล้านโดสตามเป้าหมาย ก็จะถือว่าเป็นเกราะป้องกันที่ดี สำหรับประเด็นที่น่ากังวลหลังจากนี้ในช่วงวันคริสต์มาส เทศกาลปีใหม่ จะมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ทุกฝ่ายก็คงต้องตั้งการ์ดให้สูง ระมัดระวังอย่างเต็มที่ ส่วนตัวถือว่าหากทุกคนมีสติ มีวินัยในการป้องกันตนเองก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดและจะมีความสุขกันได้ในช่วงปีใหม่โดยที่ไวรัสโอไมครอนไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว

สำหรับมาตรการภาครัฐ หากยังไม่ประกาศปิดตัวเหมือนการปิดประเทศ เช่น ญี่ปุ่นปิดไปแล้ว แต่ในไทยหากดูตัวเลขผู้ติดชื้อรายวันซึ่งลดลงมาก ก็อาจทำให้รัฐบาลมองว่ายังไม่ควรยกเลิกการเปิดประเทศ แต่เชื่อว่าทีมงานนักวิชาการของภาครัฐที่เฝ้าระวังเรื่องนี้จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน เพื่อนำไปประเมินให้รอบด้านและตัดสินใจกำหนดแนวทาง

แต่สิ่งที่ต้องการเห็นหลังจากโควิดระบาดแล้วกว่า 2 ปี ล่าสุดเมื่อเจอโอไมครอนระบาดในต่างประเทศ จะพบว่าบทเรียนที่เจอหลังการระบาดทุกครั้งก็มักจะเกิดจากปัญหาการ์ดตก เรื่องนี้รัฐบาลและประชาชนทราบดีว่าวัคซีนที่ดีที่สุด คือการมีวินัยในการป้องกันตนเอง แพทย์ก็บอกย้ำเสมอให้ดูแลตัวเองตามแนวทางที่กำหนด

ส่วนตัวเชื่อว่าประเทศไทยหลังจากเจอเชื้อโอไมครอนระบาดในต่างประเทศ การกำหนดแผนเพื่อผ่อนคลายมาตรการต่างๆ หลังการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ขอให้รัฐบาลพิจารณาตามความเหมาะสม อาจจะผ่อนคลายให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในร้านอาหารและโรงแรมที่มีมาตรฐาน SHA รวมทั้งการใช้มาตรการโควิดฟรีเซตติ้ง และการกำหนดเวลาดื่มให้ชัดเจน

ยอมรับว่าก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2565 อาจจะฟื้นตัวได้บ้าง แต่เมื่อเจอโอไมครอน ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์อาจจะไม่เหมือนเดิมตามแผนธุรกิจที่วางไว้ หรือเม็ดเงินที่จะต้องนำไปลงทุนก็อาจจะต้องชะลอไว้ก่อน เพื่อติดตามสถานการณ์ ขณะที่องค์การอนามัยโลกออกมาบอกว่าเชื้อนี้ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อเดลต้า ดังนั้นการตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK ก็ยังเป็นเครื่องมือในขั้นพื้นฐานที่ดี สถานประกอบการต่างๆ ก็ควรดูแลพนักงานไม่ให้เป็นกลุ่มเสี่ยง

หากในอนาคตพบว่าโอไมครอนเข้ามาก็ต้องปรับสถานการณ์อีกครั้ง จากนั้นผู้เกี่ยวข้องทั้งนักวิชาการด้านสาธารณสุข นักเศรษฐศาสตร์ก็คงจะต้องร่วมกันประเมินผลกระทบจากการระบาดตามหลักการป้องกัน ประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ทรุดมานานกว่า 2 ปีจะทำอย่างไรไม่ให้ทรุดหรือไปไกลกว่านี้ จะต้องทำอย่างไรให้เกิดความสมดุล หลังจากรัฐบาลตัดสินใจเปิดประเทศไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่ามีการพูดคุย ชั่งน้ำหนัก ประเมินอย่างรอบด้าน เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ ควบคู่กับการควบคุมโรคให้มีจุดสมดุล โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้หลักจากการท่องเที่ยว

ขณะนี้ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าสุดท้ายการระบาดของโอไมครอนจะเป็นอย่างไร แม้ว่าเชื้อยังไม่เข้าประเทศ แต่ในโลกยุคข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว แน่นอนว่านักลงทุนทุกระดับจะต้องมีความวิตกกังวล และยอมรับว่าในภาวะปกติหลังเปิดประเทศธุรกิจเอสเอ็มอี ส่วนใหญ่ยังไม่กล้าที่จะลงทุนมากนักแต่เมื่อมีเชื้อตัวใหม่ก็คาดหวังว่ารัฐบาลจะต้องมีความสามารถ มีนโยบายที่ดีในการป้องกันคนในประเทศ ขณะที่ภาคเอกชนทุกฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมือทุกด้าน แม้ว่าผู้บริหารในองค์กรธุรกิจทุกขนาดจะสวดภาวนาในใจขอให้โอไมครอนมีผลกระทบกับไทยน้อยที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image