พรรคเศรษฐกิจไทย จัดการประชุมใหญ่ไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ยูทาวเวอร์ ถนนศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ มีมติเลือก พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เป็นเลขาธิการพรรค และนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ เป็นนายทะเบียนพรรค น.ส.ธนพร ศรีวิราช หรือจุ๊บจิ๊บ ภรรยา ร.อ.ธรรมนัส เป็นเหรัญญิก เลือกกรรมการบริหารพรรค 18 คน ภายหลังการเลือกกรรมการบริหารพรรค พล.อ.วิชญ์กล่าวกับสมาชิกว่า การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป เราคงจะเป็นที่ 1-2 ขึ้นอยู่กับประชาชน จะศรัทธา และจะมี ส.ส.เกิน 100 คนขึ้นไป ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามท่าทีและจุดยืนของพรรคต่อรัฐบาลว่า จะสนับสนุนหรือจะทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบฝ่ายค้าน ทางแกนนำพรรคได้ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ และเมื่อถามว่า หากมีการเชิญไปร่วมรับประทานอาหารในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า “ต้องถามหัวหน้าพรรคก่อน แต่ผมไม่ไป”
การแยกตัวจากพรรคพลังประชารัฐของกลุ่ม ส.ส.ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า จะทำให้รัฐบาลมีปัญหาเสียงสนับสนุนในสภา โดยเฉพาะเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ล่าสุด ตัวเลข ส.ส.พลังประชารัฐที่ย้ายมาสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย มี 18 คน ทำให้รัฐบาลต้องหันไปดึงเสียงพรรคเล็กมาผนึกกับรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการรับประทานอาหารเย็นหรือดินเนอร์การเมืองแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน และคาดหมายว่า ก่อนเปิดสภาใน วันที่ 22 พฤษภาคม อาจจะมีการพบปะกันอีก
การแบ่งภาคจากพรรคใหญ่ มาเป็นพรรคเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้พรรคเดิมเผชิญวิกฤตเสียงสนับสนุน เป็นอีกภาพของการเมืองในปัจจุบัน นอกเหนือจากบทบาทของพรรคเล็ก ทั้งหมดนี้ เป็นผลิตผลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ “ดีไซน์เพื่อพวกเรา” น่าคิดว่า ผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญ คาดคิดหรือไม่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ขึ้นกับ “พวกเรา” แต่ก็ต้องถือว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของผู้ยกร่างด้วย น่าเสียดายที่ในการทำประชามติ ผู้มีอำนาจขณะนั้น ไม่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญ ทำให้ขาดมุมมองล่วงหน้าว่า ผลที่จะเกิดขึ้นจากกฎกติกานี้คืออะไร เป็นบทเรียนสำคัญของการยกร่างรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ที่ประชาชนถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วม