เปิดตัว ‘บิ๊กตู่’ แค่สีสัน ไม่เซอร์ไพรส์-ไร้ตัวตึงการเมือง

เปิดตัว‘บิ๊กตู่’แค่สีสัน ไม่เซอร์ไพรส์-ไร้ตัวตึงการเมือง หมายเหตุ - ความเห็นนักวิชาการ

เปิดตัว ‘บิ๊กตู่’ แค่สีสัน ไม่เซอร์ไพรส์-ไร้ตัวตึงการเมือง

หมายเหตุความเห็นนักวิชาการกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเอิกเกริก

วันวิชิต บุญโปร่ง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

จากการเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นั้น เอาจริงๆ การที่ประโคมโหมโรงมายาวนานก็ทำให้ผู้คนทางสังคมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร เราก็รู้อยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์อย่างไรก็ต้องเปิดตัว และพวกขุนพลที่ปวารณาตนเองว่าจะให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ได้โยนก้อนหินถามทางเพื่อถามสังคมมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น นายชัชวาลล์ คงอุดม, นายชุมพล กาญจนะ และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี หรือแม้กระทั่งกลุ่มที่เพิ่งลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อย่างนายสุชาติ ชมกลิ่นก็ตาม คือไม่ได้สร้างความเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์อะไร

Advertisement

แม้จะมี ส.ส. นักการเมือง จากบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ มาเปิดตัวถึง 32 คน แต่เมื่อคลี่ตามรายชื่อ 1 ใน 3 ก็มาจากบัญชีรายชื่อซึ่งได้มาจากประโยชน์โพดผลของรูปแบบการคิดคำนวณสูตรคะแนนของคณะกรรมการการเลือกตั้งปี 2562 แต่การเลือกตั้งในปี 2566 บุคคลเหล่านี้โดยเฉพาะบัญชีรายชื่อ หรือแม้กระทั่ง ส.ส.เขต ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะกลับมาได้หมด 32 คน อาจจะหายไปครึ่งหนึ่ง

ดังนั้น ในการเปิดตัวของพรรค รทสช.แม้จะดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่สังคมก็ยังโฟกัสไปที่ยังสามารถข้ามตัวเลข 25 ที่นั่งที่เขาสบประมาทได้หรือไม่ ประกอบกับว่า บุคคลที่มาเปิดตัวหรือมาให้การอวยพร ไม่ว่าจะเป็น นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็แน่นอนว่า พรรค รทสช.พยายามโฟกัสกลุ่มโหวตเตอร์ที่มีแนวคิดไปทางฝั่งอนุรักษนิยม

ดังนั้น ภาพตรงนี้จึงเห็นแล้วว่าไม่ค่อยจะหวือหวาเท่าไร เพราะตัวท็อปหรือตัวตึงทางการเมืองที่จะเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์นั้น ไม่มีตัวที่หลายคนวิเคราะห์ว่าจะมี

Advertisement

ฉะนั้น จะเห็นว่าแม้พรรคที่ ส.ส.หลายคนจากมา ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือ พปชร.กำลังจะถูกตั้งคำถามกลับไปมากกว่าว่าหากเห็น รทสช.เปิดตัวอย่างนี้ พรรคตัวเองจะเหลือ ส.ส.จริงๆ ไปสนามเลือกตั้งปี 2566 กี่คน

ในขณะเดียวกันน้ำหนักที่ลดทอนจุดสนใจให้ไปตั้งคำถามคือในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งที่ปรึกษานายกฯ ซึ่งผมคงไม่บอกเองว่าคำตอบหรือความรู้สึกของประชาชนที่เห็นคำสั่งตรงนี้ จะรู้สึกประทับใจหรือไม่ เพียงใด

ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อวาน คือพยายามจะลดเพดาน ลดระยะห่างจากที่ตนเองเคยมีระยะห่างจากนักการเมือง ทำให้ตัวเองรู้สึกเข้าถึงและเป็นกันเองมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน อย่าลืมว่าการเมืองไทยมันมีพลวัต และมีการแข่งขันเชิงนโยบายหรือการเปรียบเทียบตลอดเวลา สังเกตจากพรรคการเมืองในการเปิดตัวผู้สมัคร หรือการรณรงค์แคมเปญนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่นำเสนอนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท หรือพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เสนอพักหนี้ 3 ปีและต้องเป็นการพักหนี้แบบหยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท ทุกพรรคจะนำนโยบายมานำเสนอหยอดไปทางสังคมว่าสนใจที่จะเอาพรรคตัวเองเป็นทางเลือกในการเข้ามาทำงานการเมืองในอนาคตหรือไม่ แต่ในกรณี รทสช.โฟกัสไปให้น้ำหนักความสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือภารกิจต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงนโยบายสำคัญที่จะนำไปชู หรือสร้างเสน่ห์นำไปสู่การแข่งขันได้ในทางการเมือง

เรื่องการยุบสภา ผมคิดว่าท้ายที่สุดก็คงจะประวิงเวลาไปสักระยะหนึ่ง ในการรอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่…) พ.ศ. … และในขณะเดียวกัน อาจจะรอทีมนโยบายหาเสียง ในการหานโยบายที่สามารถชี้ให้เห็นว่า รทสช.พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง และต้องวิเคราะห์พื้นที่เขตเลือกตั้งต่างๆ ว่าพรรคการเมืองไหนจะมีความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน

ดังนั้น ผมจึงคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์คงจะยืนระยะไว้สักระยะหนึ่ง ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป จะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะนำไปสู่การยุบสภา

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

ก ารเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ คิดว่ายังไม่เต็มที่ ไม่สามารถสร้างกระแสทางการเมืองได้กว้างขวางมากนัก ถ้าพูดแบบภาษาโซเชียลก็คือยังไม่เต็มคาราเบล คือไม่ได้เกินไปกว่าความคาดหมาย

คนที่ติดตามการเมืองก็คงรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เนื่องมาจากการเตรียมงานหรือกำหนดคอนเทนต์ (Content) ไม่เหมาะสมกับบุคลิกของ พล.อ.ประยุทธ์ เช่น การอธิบายทำไมต้องอยู่อีก 2 ปีจากการสื่อสารไม่สามารถจับประเด็นได้

สุดท้ายไปบอกว่ามีหัวใจสีม่วง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน คิดว่าเป็นคำสูตรสำเร็จ ไม่ใช่เหตุผลในการสร้างคำอธิบาย ประกอบกับประเด็นของเนื้อหาที่กล่าวในการเปิดตัวไม่น่าสนใจ

ประการต่อมากลุ่มคนที่มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นรายชื่อเดิมๆ ไม่ได้สร้างความน่าสนใจ

โดยไฮไลต์อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ก็อยู่ในรายชื่ออยู่แล้ว สมัยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง คนที่เติบโตมากับลุงตู่ ที่ไหลมาจากพรรคพลังประชารัฐ หรือกลุ่มเสี่ยเฮ้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น

ส่วนเรตติ้งหรือคะแนนนิยม หากมองโดยภาพรวมไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมได้ แต่อาจทำให้ฐานคะแนนนิยมหรือแฟนคลับที่มีอยู่แล้ว มีความรู้สึกดีขึ้น ฮึกเหิมที่เห็นความชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในอนาคตอย่างเป็นทางการ

การเปิดตัว 31 คน ของพรรครวมไทยสร้างชาติคิดว่าเป็นดาวฤกษ์จริงๆ มีประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น คือกลุ่มที่พึ่งพาตัวเองได้ กลุ่มเสี่ยเฮ้ง นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค นายวิทยา แก้วภราดัย หรือนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี คนกลุ่มนี้จะมีฐานคะแนนและเอาตัวรอดได้

แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือบรรดา ส.ส.ที่เคยอยู่พรรคพลังประชารัฐ ในพื้นที่ภาคใต้และตัวเองได้รับเลือกตั้งจากกระแส พล.อ.ประยุทธ์ ส.ส.เหล่านี้จะลำบาก การเลือกตั้งครั้งหน้า คะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำ อาจจะกระทบกับตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เหมือนกัน

หากพรรครวมไทยสร้างชาติ การเลือกตั้งครั้งหน้าได้ไม่ถึง 25 ที่นั่ง จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และอาจตกเป็นฝ่ายค้านทันทีด้วยเช่นกัน

ด้านพรรคพลังประชารัฐอาจจะไม่ได้ ส.ส.จำนวนมาก แต่ด้วยบารมีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะทำให้พรรคพลังประชารัฐมีความยืดหยุ่น ไปจัดตั้งรัฐบาลอีกมุมหนึ่งก็ได้ จึงเป็นเหตุผลให้บรรดานักเลือกตั้งกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มภูมิใจไทย กลุ่มสามมิตร หรือกลุ่มกำแพงเพชรที่ไม่ย้ายออกไป มีการประเมินว่าหากอยู่ในจุดนี้สามารถไปได้ทุกทาง หากย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วไม่ได้ 25 ที่นั่งก็จะหลุดโอกาสที่จะได้ร่วมรัฐบาล

จึงทำให้กลุ่มนักเลือกตั้งเหล่านี้ไม่มีความชัดเจนที่จะไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ จะมีอำนาจการต่อรองที่สูงกว่า

ด้านกระแสการย้ายของ ส.ส.ไปพรรคการเมืองต่างๆ และการยุบสภา ตอนนี้คิดว่าทั้ง 2 อย่างเป็นของคู่กัน หากย้ายพรรคกันเยอะ หรือการลาออกของบรรดา ส.ส.จะทำให้ ส.ส.ซีกรัฐบาลอาจจะลดลง ทำให้ซีกรัฐบาลทำงานยาก เนื่องจากฝ่ายค้านมีมากกว่า คิดว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ จะต้องมีความพร้อมที่สุดในการเลือกตั้ง

จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เริ่มใช้อำนาจทางการเมือง แต่งตั้งคนของพรรคเข้าไปทำงานทางการเมือง แสดงว่าใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อผลประโยชน์บางอย่างให้กับพรรค ก็ไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์เลือกพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตร และแนวร่วมด้วยจะต้องมีความพร้อมเช่นกัน จึงจะยุบสภา

ตรีเนตร สาระพงษ์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ก ารเปิดตัวของ พล.อ.ประยุทธ์กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องถือว่านับแต่นี้ไป พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัว ส่วนที่ว่าจะเป็นนักการเมืองเต็มตัวแต่ลอยตัว ปล่อยให้คนอื่นจัดการทุกอย่างแทนเหมือนเดิมหรือไม่นั้น เมื่อมองความเป็นตัวตน พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ส่วนบรรยากาศการเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์ก็เห็นความพยายามของฝ่ายจัดการที่พยายามจัดใหญ่ เพื่อให้สมเกียรติและลบความรู้สึกกลัวในจิตใจของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะรอดหรือร่วง

ดังนั้นการเกณฑ์ประชาชนมาร่วมงานก็ดี การมีส.ส.มาร่วมงาน หรือคนที่สนับสนุนที่มาให้กำลังใจก็ดี ในแง่ความคึกคักถือว่าช่วยสร้างสีสันให้การเมืองได้ไม่น้อย

แต่ในแง่ที่ว่าจะทำให้ความนิยม หรือเรตติ้งในตัว พล.อ.ประยุทธ์เพิ่มมากขึ้นหรือไม่นั้น บรรยากาศก็ได้รู้สึก “ว้าว” เพราะในงานเปิดตัวก็ไม่มีสิ่งจูงใจให้นิยม หรือชื่นชอบมากขึ้น คงมีภาพเดิมๆ หรือแม้แต่นโยบายที่โดนใจก็ยังไม่มี ส่วนคนรอบข้างที่มาให้กำลังใจก็ไม่มีภาพการเป็นเจ้าของพื้นที่ เว้นแต่กลุ่ม ส.ส. ที่มาร่วมงาน หรือการตั้งที่ปรึกษานายกฯก็ไม่มีตัวชูโรงหรือความโดดเด่นที่เข้ายุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

ส่วนที่ว่าเปิดตัวแล้วจะยุบสภาหรือไม่นั้น เมื่อการเปิดตัวไม่ได้ช่วงดึงกระแสความนิยมของรัฐบาลขึ้นการยุบสภาในช่วงเวลาที่ไม่ได้เปรียบก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเพราะการเปิดตัวที่ทำให้ชัด-แต่ช้า เมื่อเทียบกับพรรคไทยรักไทยที่ชัดเจนแล้วว่าใครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. หรือแม้แต่โครงสร้างองค์กรก็ยังไม่ชัดเจนนักถ้าเทียบกับพรรคอื่นๆ

อีกทั้งยังมีเงื่อนไขกลไกความไม่พร้อม คือต้องรอกฎหมายลูก 2 ฉบับ คือกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมืองที่ต้องรอโปรดฯเกล้าลงก็ดี หรือแม้แต่การรอแบ่งเขตการเลือกตั้งจากฐานประชากรของ กกต. ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติอาจต้องนำมาใช้เพื่อนำมาวิเคราะห์ความได้เสียทางการเมือง

แม้จะไม่ยุบสภาช่วงนี้ แต่ถามว่ายุบสภา หรือปล่อยให้ครบวาระ 4 ปี น่าจะฟันธงลงไปได้ว่ายุบสภาแน่นอน คงไม่ปล่อยให้สภาครบวาระ 4 ปีด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ยุบสภาจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบกว่าการปล่อยให้ครบวาระ

กล่าวคือ ถ้ารัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปี ผู้ลงสมัคร ส.ส.จะต้องหาพรรคสังกัดใน 90 วัน แต่ถ้ายุบสภาจะต้องหาพรรคสังกัดภายใน 30 วัน จึงเห็นได้ว่าในแง่ระยะเวลาในการกักขังตัวผู้สมัคร ส.ส.วิธีการยุบสภาจะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ต้องมั่นใจว่ามีว่าที่ ส.ส.ให้กักขัง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าเดือนมกราคม ส.ส.ส่วนใหญ่ จะมีความชัดเจนว่าจะอยู่ฝั่งไหนระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายประชาธิปไตย หรือสังกัดพรรคใดเพราะไม่อยากเสี่ยงถูกกักขังอยู่ในพรรคเดิม

ส่วนการจัดการเลือกตั้งหากยุบสภาจะต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 ถึง 60 วัน ต่างกับการอยู่ครบวาระในวันที่ 23 มีนาคม 2566 เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องเลือกตั้ง 45 วัน ระยะเวลาการเป็นรัฐบาลรักษาการในการยุบสภาจะนานกว่าการครบวาระ 4 ปี ซึ่งการเป็นรัฐบาลอยู่ในอำนาจในระหว่างการจัดการเลือกตั้งก็สามารถช่วงชิงความได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นการทำโครงการสร้างภาพจำให้ประชาชน การโยกย้ายข้าราชการ การแต่งตั้งคนในพรรคเข้ามาช่วยงานทางการเมือง ก็สามารถช่วงชิงความได้เปรียบได้

อีกทั้งท่วงท่าของบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ชัดเจนว่าจะตามไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งน่าจะรู้ข้อสอบว่าจะยุบสภาช่วงใด ก็ยังไม่ลาออกจากพรรคเดิมก็พอทำให้เห็นได้ว่าระยะเวลาการยุบสภายังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน

ระยะเวลาหลังจากนี้ไปจนถึงวันยุบสภา และการเป็นรัฐบาลรักษาการ น่าจับตาว่า พล.อ.ประยุทธ์ในแบรนด์พรรครวมไทยสร้างชาติ จะงัดเอาอะไรมาเป็นจุดขาย จะมีพลังดูดหรือไม่ หรือมีนโยบายที่เคยด่านักการเมืองไว้หรือไม่

อ่านข่าวน่าสนใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image