กกร.ประเมินศก.ฟื้น! ‘จีน’ปัจจัยเกื้อหนุน
หมายเหตุ – นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงผลประชุม กกร. ที่โรงแรมอนันตรา สยาม ราชดำริ เมื่อวันที่ 11 มกราคม
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว แม้ว่าแนวโน้มของภาคการท่องเที่ยวจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย กกร.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คงเดิมว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกมีสัญญาณการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก กกร.คาดการณ์ว่าการส่งออกปี 2566 จะขยายตัวเพียง 1-2% ลดลงจากปี 2565 ที่ขยายตัวถึง 7.25% นอกจากนี้ ได้ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7-3.2% ขณะเดียวกัน ได้กังวลภาวะต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงตามราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทั้งความเสี่ยงและเป็นความท้าทายของภาคเอกชน
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย 11.1 ล้านคนในปีที่ผ่านมา มากกว่าที่คาดการณ์ ช่วยให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวได้ อัตราการเข้าพักโรงแรมในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 63% เข้าใกล้ระดับปกติที่ 77% และในปีนี้ มีปัจจัยหนุนจากการที่ประเทศจีนเปิดประเทศ ผ่อนคลายมาตรการกักตัวภาคบังคับ ตั้งแต่ 8 มกราคม 2566 น่าจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจสูงได้ถึง 20-25 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงมีความกังวลถึงปัญหาแรงงานในภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงขาดแคลน จึงจำเป็นที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาแนวทางในการดึงกลุ่มแรงงานกลับเข้าสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวให้เพียงพอในการรองรับการฟื้นตัวดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ ได้ประเมินเศรษฐกิจสำหรับการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดของจีนอาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2566 เป็นต้นไป ในช่วงต้นของการผ่อนคลาย มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและการส่งออก ภาคการผลิตของจีนจึงหดตัวลงเพิ่มเติมในระยะนี้
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่เข้มงวดคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนกลับมาเดินหน้าฟื้นตัวได้มากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2566 เป็นต้นไป ทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะสามารถเติบโตได้ระดับ 5% ตามเป้าหมายได้ หลังจากที่เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายในปีที่ผ่านมา จะช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากเกินไปในภาวะที่ยังเผชิญแรงกดดันจากราคาพลังงานในระดับสูงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
ประเมินว่าการที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและค่อนข้างทั่วถึง เพราะคนจีนจะท่องเที่ยวหลายพื้นที่และมีการจับจ่ายซื้อสินค้าสูง เพราะหลังปิดประเทศถึง 3 ปี จึงมีความต้องการใช้เงินสูง รวมถึงมีนิสัยใช้จ่ายระดับสูง ต่างจากนักท่องเที่ยวจากยุโรป และตะวันตก ที่ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในโรงแรมเพื่อพักผ่อนเป็นหลัก แม้จะมีข้อที่หลายคนกังวล คือ การระบาดของโควิดในจีน แต่ภายในประเทศจีนก็มีมาตรการควบคุมสถานการณ์ ก่อนให้ประชาชนออกนอกประเทศ ซึ่งมีกระบวนการตรวจคัดกรอง และฉีดวัคซีน ขณะเดียวกัน ในส่วนของระบบสาธารณสุขไทยก็มีความเข้มแข็ง ดังนั้น จึงไม่ควรกังวล หรือตื่นตระหนก
กกร.มีความเห็นเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ดังนี้ 1.ผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเลิกการผ่อนปรนเงินนำส่งกองทุน (FIDF) ให้กลับเข้าสู่อัตราปกติที่ 0.46% ต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 0.23% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องส่งผ่านต้นทุนดังกล่าว โดยที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนให้กับ ธปท. เพื่อนำส่งให้กระทรวงการคลัง ในการชำระหนี้คืนตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นที่ 0.4% ต่อปี ตามที่ได้เคยปรับลดไปช่วงก่อนหน้า ระดับดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างฐานเงินฝากของแต่ละธนาคาร ก็ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม สมาคมธนาคารไทยยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม ตรงจุดและทันการณ์ ครอบคลุมทั้งการลดภาระทางการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม พร้อมทั้งจะเร่งผลักดันมาตรการอื่นๆ เช่น สินเชื่อเพื่อการปรับตัวภายใต้ พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับกระแสเทคโนโลยีดิจิทัล การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต รวมถึงโครงการพักทรัพย์พักหนี้ สำหรับลูกหนี้ธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งนี้ จะได้มีการติดตามความคืบหน้าและประสิทธิผลของมาตรการต่างๆ อย่างใกล้ชิด
2.สำหรับประเด็นค่าไฟฟ้า (Ft) ที่ในช่วงที่ผ่านมา กกร.ได้มีข้อเสนอแนะและหารือกับรัฐบาล เพื่อหาแนวทางออกที่เหมาะสมเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าไฟเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานของภาคเอกชน กกร.ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้รับฟังเสียงสะท้อนของภาคเอกชน ถึงแม้ไม่ได้ตรึงราคาตามข้อเสนอของภาคเอกชน ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงบางส่วนโดยไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังหวังว่าตลอดทั้งปีนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการในการดูแลค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากทุกภาคส่วน กกร.ได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ด้านพลังงาน ซึ่ง กกร.จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ด้านพลังงานที่จะดูถึงวิธีการว่าจะทำอย่างไร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี หรือผู้ประกอบการรายย่อย วางแผนและนำเสนอแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน หรือจะทำให้ค่าไฟฟ้า (Ft) ลดลง โดยปี 2566 ช่วงไตรมาส 2 คาดหวังว่าค่าพลังงานจะมีแนวโน้มลดลง
ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวในการใช้พลังงานทางเลือกให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในปีนี้ โดยจะต้องวางแผนในระยะยาวให้มีความสมดุลทั้งด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ การดูแลสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการแข่งขันต่อไป
3.สำหรับการที่ประเทศไทยได้รับหน้าที่เป็นประธานบิมสเทค หรือ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) หรือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ เป็นการรวมตัวของ 7 ประเทศ ไทย เมียนมา ศรีลังกา บังกลาเทศ อินเดีย ภูฏาน และเนปาล โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพวาระปี 2565-2566 ตั้งแต่ เมษายน-สิงหาคม 2566 ภายใต้วิสัยทัศน์บิมสเทค แบงค็อก วิชั่น 2573 (BIMSTEC Bangkok Vision 2030) ที่มุ่งเสริมสร้างให้ประเทศสมาชิก มีความมั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง (Prosperous,Resilient, Open: PRO BIMSTEC) ภายในปี ค.ศ.2030 (พ.ศ.2573) ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานในกรอบบิมสเทคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กกร.จึงมีมติ ดังนี้
1.เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่างข้อเสนอของภาคเอกชนเกี่ยวกับความร่วมมือในกรอบบิมสเทค เพื่อนำเสนอข้อเสนอต่อภาครัฐ 2.เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับสมาชิกบิมสเทค เพื่อขอให้จัดตั้ง Business Advisory Council-BIMSTEC BAC เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว ซึ่งถือว่าไทยเป็นผู้ริเริ่มในฐานะเจ้าภาพ 3.เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ ควรมีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Advisory Council-BAC) ในทุกกรอบความร่วมมือ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) เป็นต้น
และ 4.กกร. ยังได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (ทีเอ็มเอ) ในการขับเคลื่อนโครงการ Enhancing SMEs Capability for Competitiveness (Pilot Project) หลังขีดความสามารถการแข่งขันไทยลดลงจากระดับ 28 อยู่ที่ระดับ 33 เพื่อยกระดับศักยภาพของเอสเอ็มอี หรือผู้ประกอบการไทย ให้แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมุ่งเป้าเป็นโครงการต้นแบบของกลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งระยะแรกจะนำร่องคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ทั้งภาคการผลิต การค้าและบริการ ไม่น้อยกว่า 30 ราย เข้าร่วมโครงการ
มีรูปแบบการดำเนินโครงการในลักษณะการดูแลและเร่งรัดให้เอสเอ็มอี หรือผู้ประกอบการเติบโตอย่างรวดเร็ว (แอ็กเซเลอะเรชั่น) ผ่านระบบพี่เลี้ยง (เมนเทอร์) และผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ (โค้ช) อย่างใกล้ชิด โดยระหว่างการดำเนินโครงการจะมีการเก็บข้อมูลที่จำเป็นของผู้ประกอบการทั้งก่อนและหลัง เพื่อประเมินและขยายผลไปยังกลุ่มอื่นๆ ในระยะต่อไป
นอกจากนี้ กกร.ยังแสดงถึงความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดแข็งขึ้น 33.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็เป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้ประกอบการ ช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แข็งค่าจากปัจจัยหลัก คือ เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง และไทยมีปัจจัยสนับสนุนเรื่องความคาดหวังว่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวก หลังจีนเปิดประเทศ และนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทย จึงมีผลต่อการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ขณะเดียวกัน เห็นการเคลื่อนไหวของเงินทุนระยะสั้นที่ไหลเข้าไทย ข้อมูลปัจจุบันมีเงินเข้ามาจากที่ชาวต่างชาติซื้อเงินตราระยะสั้นที่ต่ำกว่า 1 ปีสูงถึง 60,000 กว่าล้านบาท เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่มีเงินไหลเข้ามาที่ระดับ 16,000 ล้านบาท ดังนั้น เงินที่ไหลเข้าไทยระยะสั้นทำให้ดีมานด์ของค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าปกติจากที่มีเงินไหลเข้ามาจากการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น 3 เดือน ที่มีการซื้อค่อนข้างสูง เป็นต้น อาจจะเป็นการพักเงิน หรือการเก็งกำไรหรือไม่จะต้องติดตามดูสถานการณ์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทมีทิศทางที่แข็งค่าต่อเนื่อง ธปท.คงจะดูแลอย่างใกล้ชิด และติดตามสภาวะเงินลงทุนที่มีการไหลเข้า และไหลออก ส่งผลต่อค่าเงินที่เปลี่ยนแปลง เป็นประเด็นความกังวลของ กกร. และเชื่อว่า ธปท.ได้ดูแลตามกลไกตลาด ซึ่งตลาดเคลื่อนไหวอย่างเสรี ซึ่งการที่ ธปท.จะเข้าดูแลโดยการป้องกันแบบฝืนกลไกตลาดคงไม่ทำให้เกิดขึ้นเป็นภาพซ้ำในอดีตจากวิกฤตต้มยำกุ้ง จึงมองว่าการเข้าดูแลคงจะเป็นแนวทางที่ดำเนินไปตามกลไกลตลาดเป็นที่ตั้ง โดยที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังที่สุดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยง