ถอดรหัส จม.จาก ‘ป้อม’ ถึง ‘ตู่’ ความแตกร้าว หรือเกมการเมือง

ถอดรหัส จม.จาก ‘ป้อม’ ถึง ‘ตู่’ ความแตกร้าว หรือเกมการเมือง

หมายเหตุความเห็นจากนักวิชาการกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เผยแพร่จดหมายเปิดใจถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตัดสินใจไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีเนื้อหาทำนองไม่เห็นด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์หลายเรื่อง แต่ได้สงวนท่าที ไม่ได้มีการคัดค้าน เพื่อรักษามารยาท

เศวต เวียนทอง
อาจารย์สาขารัฐปกครอง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) วิทยาเขตล้านนา

Advertisement

กรณี พล.อ.ประวิตรเขียนจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ ให้โชคดีและสมหวังในทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เชื่อว่าเป็นความหวังดีของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ ที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายทหารรุ่นน้อง ให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ส่วนตัวไม่เชื่อว่าเป็นการเล่นละครเพื่อตบตาประชาชน เพราะเป็นชายชาติทหารทั้งคู่ ย่อมมีเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง จึงเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์ แยกทางกันจริงแบบทางใครทางมัน ไม่ใช่เล่นเกม หรือแหกตาทางการเมืองแบบลับ ลวง พราง ถ้าเล่นการเมืองหรือแหกตา เชื่อว่าประชาชนรู้ทัน และไม่สนับสนุนทั้งสองพรรค ส่งผลเสียตามมาภายหลังมากกว่า

เหตุที่ พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแยกทางกัน เนื่องจากแนวคิด อุดมการณ์ และเป้าหมายทางการเมืองต่างกัน แต่มีเก้าอี้ผู้นำประเทศเพียงตัวเดียว จำเป็นต้องแข่งขันกันเอง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องย้ายไปสังกัด รทสช. เพื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสมัยหน้า ไม่ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาและอิทธิพลบารมีของ พล.อ.ประวิตรอีก เพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์ภาวะผู้นำประเทศตามแบบฉบับทหาร และอำนาจนิยมที่ปลูกฝังมายาวนาน

อีกมุมหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องการลบภาพผู้นำประเทศ ทับซ้อนอำนาจ ผลประโยชน์และเครือข่ายกับ พล.อ.ประวิตร เพราะไม่เป็นผลดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใด ที่สำคัญตามธรรมเนียมทหาร มีผู้บังคับบัญชาสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถสั่งการได้โดยตรงและชอบธรรมตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใครอีก เนื่องจากมีอาชีพเป็นทหารไม่ใช่นักการเมืองแท้จริง ไม่เหมือน พล.อ.ประวิตรที่เรียนรู้เข้าใจวิถีประชาธิปไตย และมีประสบการณ์การเมืองมากกว่า จึงเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

Advertisement

ดังนั้น แนวโน้มทางการเมืองในอนาคต อาจแบ่งเป็น 3 ขั้วใหญ่ คือ รทสช.หรือพรรคของ กปปส. รวมพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีฐานเสียงภาคใต้ ภาคกลาง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พปชร.จับมือพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่มีฐานเสียงภาคอีสาน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ต่างมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คนอยู่ในมือ เพื่อสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ขึ้นอยู่กับว่าใครมี ส.ว.สนับสนุนมากกว่ากัน

ส่วนฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่มีฐานเสียงภาคเหนือและคนรุ่นใหม่ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคที่มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมากที่สุดคือ ภท. เนื่องจากมีศักยภาพทั้งกระแส กระสุน และเครือข่ายสนับสนุน สามารถจับมือทุกพรรคได้ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า

ดังนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. จึงมีโอกาสเป็นผู้นำประเทศคนต่อไปได้เช่นกัน ประเด็นที่ให้ พท.จับมือ พปชร.และ ปชป.เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น เป็นไปได้ยาก เนื่องจากแนวคิดและอุดมการณ์สวนทางกัน อีกทั้งไม่เป็นที่ยอมรับประชาชนและผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ เนื่องจากทัศนคติและความนิยมแต่ละภาคแตกต่างกัน หากมีการรวมพรรคดังกล่าวจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าถูกต่อต้านคัดค้านอย่างรุนแรงได้

บทสรุป การแยกทางเดินของ พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบททดสอบทั้งสองพรรคว่าจะไปรอดในทางการเมืองหรือไม่ อาจกลับมาจับมือจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง หรือพ่ายแพ้แบบล้มกระดานทั้งคู่ ยังไม่มีใครตอบได้ ขึ้นอยู่กับผลเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า เป็นตัวกำหนดรัฐบาลและผู้นำประเทศคนใหม่มากกว่า

ตรีเนตร สาระพงษ์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

จดหมายถึงบิ๊กตู่ ทำให้หลายคนละสายตาจากกลยุทธ์แยกกันเดินรวมกันตี หรืออย่างน้อยก็ไขว้เขวพอสมควร เมื่อลงไปดูเนื้อในถือว่าแรงพอสมควร จากเดิม พล.อ.ประวิตรถามอะไรก็ตอบไม่รู้ แต่ในจดหมายกลับตอบว่ารู้อย่างน่าสงสัย โดยรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นเป็นคนทำรัฐประหาร การรู้อีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความรู้ทางด้านการเมือง หรือการรู้ว่าพรรคพลังประชารัฐตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการและสานฝัน พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น พล.อ.ประวิตรยังรู้อีกว่า ครม.ทำสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน ที่สำคัญ พล.อ.ประวิตรยังรู้อีกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกตั้งมาเป็นพรรคสำรองเท่านั้น

จดหมายที่ พล.อ.ประวิตรพุ่งเป้าฟาดไปที่คนเดียวเท่านั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการสลัดภาพลักษณ์บางประการที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร หลุดพ้นจากภาพการเป็นต้นตอของปัญหาประเทศในปัจจุบันที่มาจากต้นทางคือ คสช. อันมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ขับเคลื่อนขบวน และเป็นตัวปัญหาโดยที่ตน (พล.อ.ประวิตร) ไม่เกี่ยวข้องด้วย

ภาพเหล่านี้ในแง่ความได้เสียในสนามเลือกตั้ง ถือว่าเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรโกรธหรือไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น อาจทำให้ตีความไปได้ว่า 2 ป. แยกทางกันเด็ดขาดแล้ว เพราะ พล.อ.ประวิตรเด้งเชือกหนี แน่นอนว่าภาพนี้คือภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า ดูจะผิดวิสัยปกติ และชวนถามว่านี่คือผลงานการเขียนบทของเหล่า เสธ.รอบกาย พล.อ.ประวิตรหรือไม่ เพราะเป็นจดหมายขัดต่อภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประวิตร ที่เก็บเงียบทุกเรื่องผ่านคำว่าไม่รู้มาโดยตลอด แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อปรากฏการณ์ที่อยากให้รู้ คำถามจึงอยู่ที่ว่ามันคือความขัดแย้งจริงๆ หรือหวังผลอะไรจากจดหมายฉบับนี้

หากจะมองว่าจดหมายนี้คือการแยกทางกันอย่างไร้เยื่อใย ก็ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะหาก 2 พี่น้องหันมาสู้กันเอง แปลว่าพรรคเพื่อไทยจะเหนื่อยน้อยลง ไม่ต้องต่อสู้ เพราะเขาสู้กันเองตัดกันเองอย่างนั้นหรือ และต้องไม่ลืมว่าในจำนวนสมาชิกรัฐสภา 750 คน มี ส.ว.ของ พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรอยู่ 250 คน เป็นผู้สนับสนุนหลักของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร หากจะตีความว่าจดหมายจาก พล.อ.ประวิตรคือใบหย่า นั่นหมายความว่าจะต้องแบ่งมรดกที่ได้จาก คสช.คือ 250 ส.ว. ออกเป็นสัดส่วน ปัญหาใหญ่จะตามมาทันที เพราะอย่างไรเสียผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยโอกาสจะได้เสียงมากถึง 250 คน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในซีกประชาธิปไตยเองก็มีคู่แข่งอีกหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล หาก 2 ป. แยกกันจากนัยแห่งจดหมายนี้ ก็ไม่จำเป็นที่พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ให้มากถึง 250 คน งานก็ง่ายขึ้น ดังนั้น เส้นทางของ 2 ป. จึงเข้าภาษิตโบราณที่ว่า รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย

จดหมายจาก พล.อ.ประวิตร จึงน่าจะเป็นแค่กลเกมการหวังผลทางการเมืองจำแนกแยกรายละเอียด สร้างพรมแดนว่า 2 พรรคไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว มีจุดให้ตัดสินใจเลือก ผ่านการคิดของคนรอบกาย พล.อ.ประวิตรมากกว่า จะเป็นจริตโดยแท้ที่มีภาพของการปกปิดมากกว่าเปิดเผย ผ่านคำว่า “ไม่รู้”

จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

กรณีจดหมายจากลุงป้อมถึงลุงตู่ว่าไม่น่าจะมีอะไร แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดี อาจจะเป็นการต้องการจะบอกเป็นวงกว้าง เพราะหากจะบอกกันเองก็คงจะใช้วิธีการพูดคุยกันเองได้ มองว่าการเขียนจดหมายออกมาเช่นนี้ คงเป็นเรื่องของกระแสหรือการสร้างพื้นที่ให้มีการพูดถึงทั้งสองลุงมากกว่า

ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก ความสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่เป็นลบ หรือแตกหักกัน ความเป็นพี่น้องยังคงมีอยู่ แม้อาจจะมีกระแสข่าวถึงความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ความเป็นพี่น้องกินนอนด้วยกัน ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย คงจะไม่มีอะไรจะมาทำให้ความสัมพันธ์แตกหักลงได้ พี่น้องก็ยังคงเป็นพี่น้องเช่นเดิม

ส่วนจะมีความพยายามสร้างภาพความแตกแยกหรือขัดแย้งกัน เพื่อวัตถุประสงค์ใดนั้นไม่ทราบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image