กระแสกดดัน-ชิงแต้ม เศรษฐาชัดไม่ร่วมงาน‘2ลุง’

กระแสกดดัน-ชิงแต้ม เศรษฐาชัดไม่ร่วมงาน‘2ลุง’

หมายเหตุความเห็นนักวิชาการกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ประกาศชัดไม่ร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

การที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศไม่ร่วมงานลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในมุมมองของผมช่วงนี้จะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเป็นรองพรรคก้าวไกล เพราะความไม่ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาอย่างไรกับพรรคพลังประชารัฐ จึงเป็นการแก้เกมกลับของนายเศรษฐา เพื่อให้คนที่เกิดความลังเลใจที่กำลังจะตัดสินใจทางการเมือง ให้กลับมาเลือกพรรคเพื่อไทย โดยสร้างความชัดเจนว่าจะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ

Advertisement

แต่ต้องมองว่านายเศรษฐาเป็นเพียงแค่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจบทบาทในการบริหารพรรค แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่การตัดสินของนายทักษิณ ชินวัตร แสดงว่านายเศรษฐาพูดออกมาเป็นเพียงการแก้เกมทางการเมือง ที่สำคัญในนามส่วนตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะทำให้คนของพรรคเพื่อไทยมีความเชื่อในระดับหนึ่งเท่านั้น ที่จะทำให้คะแนนไม่ตกต่ำไปกว่านี้ และยอมรับว่าหลายคนพยายามสื่อสารออกมาในแนวทางนี้คือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ แต่สังคมก็ยังไม่เชื่อ จนกว่านายทักษิณจะพูด หรือมีมติพรรคออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร และจะต้องไม่ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร หรือพรรคพลังประชารัฐ

แต่ขณะนี้ข่าวสารที่ออกมาจะเป็นในลักษณะคลุมเครือ ส่วนอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ก็พูดออกมาแต่เพียงว่า “คนไม่ทำรัฐประหาร” ถึงจะร่วมงานกันได้ แม้กระทั่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาพูด ก็ยังไม่มีเครดิตที่จะให้คนเชื่อเหมือนกัน จึงต้องให้นายเศรษฐาออกมาพูด แต่คงช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะจะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อมีมติพรรคออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร และนายทักษิณพูดเท่านั้น

ขณะนี้พรรคก้าวไกลพยายามกระหน่ำพรรคเพื่อไทย ไม่มีความชัดเจนทางการเมือง อาจจะมีดีลลับกับ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยตกต่ำ การที่นายเศรษฐาออกมาพูดก็เป็นเพียงการแก้เกมทางการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุป อาจจะเป็นเพียงความเห็นของนายเศรษฐาเท่านั้น ที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค แต่เป็นเพียงแคนดิเดตเท่านั้น ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่เสนอนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

Advertisement

ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยจะร่วมกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล ในความเป็นจริงประชาชนที่นิยมชมชอบ 2 พรรคนี้ ในอุดมคติก็อยากให้ 2 พรรคนี้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงถ้าร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลกันจริงๆ ก็อาจจะมีปัญหาในการช่วงชิงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังจะมีการกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ก็เพราะพรรคก้าวไกล เป็นการสร้างตรรกะคะแนนนิยมกันเอง รวมทั้งการแบ่งตำแหน่งแห่งที่ เพราะในความเป็นจริงของพรรคก้าวไกลต้องการกระทรวงเกรดเอทั้งหมด อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงศึกษาธิการ หากพรรคก้าวไกลไม่ได้กระทรวงเหล่านี้ จะทำให้ไม่พอใจ เพราะพรรคก้าวไกลต้องการปฏิรูป ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็อยากได้ตำแหน่งในกระทรวงเหล่านี้เช่นกัน

ซึ่งจะทำให้มีปัญหาในเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ทางการเมืองขึ้นมาแทนที่ และหากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีปัญหาในเรื่องเสถียรภาพ เพราะสไตล์การบริหารของพรรคเพื่อไทยจะรวมศูนย์อยู่ที่นายทักษิณคนเดียว ถ้าหากให้พรรคก้าวไกลไปขอนายทักษิณ เชื่อว่าปัญหาจะตามมาแน่นอน จะมีแฉกันอย่างมโหฬาร

ในอดีตที่ผ่านมาของพรรคเพื่อไทย ขาดในเรื่องกำลังของทหารที่จะมาสร้างเสถียรภาพในรัฐบาล จึงส่งผลให้มีการยุบสภาบ่อยครั้ง ต้องยอมรับว่ากำลังทหารของพรรคเพื่อไทยที่ได้มานั้น ส่วนใหญ่ไม่มีบารมีทางการเมือง เป็นเพียงบริวารรอบข้าง ยังไม่ใช่ตัวชี้ชัดในการให้รัฐบาลคงอยู่ หรือให้เกิดความมั่นคงของพรรคเพื่อไทย หมายถึงไม่ได้นายทหารที่สามารถสร้างเสถียรภาพการเมืองที่มั่นคงได้

หากดูภูมิหลังของนายทักษิณที่มีบทบาททางการเมืองในประเทศไทย จะเห็นว่ามีความพยายามจะสร้างคอนเน็กชั่นกับทหารเยอะมาก ต้องยอมรับว่าทหารไม่ค่อยจะมีคอนเน็กชั่นกับนักการเมือง แต่ทหารมีอำนาจซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะยังอิงกับพวกอนุรักษนิยมและชนชั้นนำหลายฝ่าย รวมทั้งมีอิทธิพลในกองทัพด้วย จึงเป็นสิ่งที่ลำบากมากที่นักการเมืองจะสร้างพรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง เพราะจะต้องอาศัยเครือข่ายอื่นๆ ร่วมด้วยที่ให้พรรคการเมืองมีความแข็งแรง

ส่วนกระแสว่าพรรคเพื่อไทยที่จะรวมกับพรรคพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาลมายาวนาน ผมคิดว่าในความเป็นจริงหากไม่คิดในเชิงอุดมคติ หรือโลกสวย แต่จะต้องมองสภาพการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง พรรคพลังประชารัฐอาจจะไม่มีกระแสหวือหวา แต่เป็นที่รับรู้ว่า พล.อ.ประวิตรเขาอยู่ในฐานะแกนกลางในการเชื่อมเครือข่ายทั้งหมดในกองทัพ ทำให้มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงหากเป็นรัฐบาล และยังเป็นตัวเชื่อมไปยังกลไกรัฐธรรมนูญ
ปี 2560 อีกด้วยก็คือ ส.ว. ซึ่งจะเป็นหลักประกันได้ว่าหากผู้ที่พ่ายแพ้ทางการเมืองจะไม่โดนการดำเนินคดีความย้อนหลัง ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์

นี่คือการเมืองที่เป็นลักษณะจริงในเวลานี้ อาจจะไม่ถูกใจบรรดาแนวร่วมทางการเมืองที่มองการเมืองแบบอุดมคติ

หากมามองพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมารยาทจะต้องให้พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.อันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ แต่กำหนดไว้ว่าใครก็ได้รวมเสียงได้มากกว่าถึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้มากกว่า 250 เสียงก็จัดตั้งรัฐบาลได้ โดยดูจากโมเดลปี 2562 หลายคนปรามาสว่ารัฐบาลอยู่ได้ไม่นานมีคะแนนปริ่มน้ำ แต่ก็อยู่มาได้จนครบ 4 ปี ก็เช่นเดียวกันหากจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคการเมืองใดสามารถรวบรวม ส.ส.และชิงจัดตั้งรัฐบาล แล้วใช้วิธีการดูด ส.ส.กลับมา ก็จะมี ส.ส.ส่วนหนึ่งที่ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน ก็จะย้ายมาอยู่พรรครัฐบาล ประกอบกับนักเลือกตั้งจำนวนมากมีคดีค้างเก่าจำนวนมาก รวมทั้งการขู่ยุบสภา ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการดึงตัว ส.ส.

อย่างไรก็ตามหาก พล.อ.ประยุทธ์แพ้ ก็ยังมี พล.อ.ประวิตรเป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่ถูกคิดบัญชีย้อนหลัง

ถ้ามาดูสูตรการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ผมมองว่าหากพรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ ก็จะมีการจัดตั้งรัฐบาลในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพื่อไทย ก้าวไกล เสรีรวมไทย ประชาชาติ และพรรคอื่นๆ แต่มีอาจจะมีปัญหาในอำนาจที่จะตามมาเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาล

อีกสูตรรัฐบาลในปีกของรวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นขั้วรัฐบาลในปัจจุบัน อาศัยมือ ส.ว.ช่วยเสริม แล้วใช้วิธีการดูด ส.ส.กลับมาเติมในซีกรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารต่อไปได้ เหมือนกับรัฐบาลชุดนี้

สูตรสุดท้าย เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และปีก ส.ส.ที่ไม่ใช่พรรคก้าวไกล

วันวิชิต บุญโปร่ง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ณ ขณะนี้ สถานการณ์การเมืองในช่วงโค้งหาเสียง 2-3 สัปดาห์สุดท้าย เพื่อความชัดเจน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่โดนกล่าวหาว่าเล่นการเมืองแบบคาบลูกคาบดอกมาตลอด เหมือนคอยกั๊ก แล้วทำให้ความรู้สึกของผู้คนที่มีการประเมินภาพ คิดว่าอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็นอนมา แต่มันอาจจะไม่เหมือนเดิม ดังนั้น สถานการณ์ที่ประเมินมาจากผลคะแนนสำรวจต่างๆ พรรคก้าวไกลกำลังหายใจรดต้นคอ และคะแนนนิยมของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความไว้วางใจสูงขึ้นตามลำดับ เบียดพื้นที่ความนิยมของพรรคเพื่อไทย

มันเห็นความแตกต่างแล้ว ว่าความนิยมตรงนี้มันเกิดขึ้นมาจากความชัดเจน จุดนี้คิดว่าพรรคเพื่อไทยได้ทบทวนและปรับยุทธศาสตร์การหาเสียงขึ้นมาใหม่ เลิกพูดหาเสียงในลักษณะคาบลูกคาบดอก แน่นอนว่ายุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ของตัวเองจะต้องเดินหน้าต่อไป

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่พูดอะไรตรงไปตรงมา อาจจะเข็ดหลาบจากประสบการณ์เคยถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ในปี 2549 กับปี 2557 ฉะนั้น พรรคเพื่อไทยจึงมีภาพว่าต้องการประนีประนอม คือมีขาข้างหนึ่งแหย่ไว้เพื่อแตะความรู้สึกกับฝ่ายอนุรักษนิยม

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย อาจจะมองแบบหว่านแหเรื่องคะแนนนิยมมากเกินไป จนลืมไปว่าฝ่ายที่มีฐานเสียงชัดเจนอย่างก้าวไกล มีน้ำหนักที่หนักแน่นกว่า กลายเป็นยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยจะได้รับผลกระทบ ไม่ใช่เพราะคู่แข่งจากฝ่ายอนุรักษ์เลย แต่มาจากฝ่ายเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกล

การปรับกลยุทธ์จะทำให้มีหวังเรื่องแลนด์สไลด์มากขึ้นแน่นอน เพราะจะดึงใจของคนที่กำลังลังเลให้กลับมาที่พรรคเพื่อไทยมากขึ้น แต่โจทย์สำคัญขณะนี้ คือพรรคเพื่อไทยต้องนำเสนอนโยบายมากกว่าที่เป็นอยู่

แน่นอนว่าตอนนี้ กระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) เป็นนโยบายที่ทุกคนจับตามอง แต่พรรค
เพื่อไทยมีจุดแข็งอะไรในการชูนโยบาย ก็ต้องชูนโยบายตัวอื่นๆ ออกมาเพื่อนำไปสู่การแข่งขัน เพราะขณะนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมทำอะไรไม่ได้นอกจากโจมตี คือเขาไม่สามารถหานโยบายที่เหนือกว่าไปกว่านี้อีกแล้ว

ดังนั้น เพื่อไทยที่รู้ว่าจุดแข็งตัวเองคืออะไร ก็ต้องเดินหน้าชูนโยบายต่อไป

อีกสิ่งสำคัญที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา การลงพื้นที่จากนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ภาพเมื่อแข่งกับฝ่ายเสรีนิยมด้วยกัน การหาเสียงหรือความสม่ำเสมอจะสู้พรรคก้าวไกลไม่ได้ ดังนั้น การแนะนำตัว การลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญ พรรคเพื่อไทยต้องปรับยุทธศาสตร์แนะนำประชาชนให้รู้จักผู้สมัครของตัวเองมากขึ้น

ประเด็นถัดไป การวางตัวบุคคลสำคัญในการดีเบตบนเวทีของสื่อหลัก หรือสื่อแพลตฟอร์มต่างๆ ต้องชู “ขุนพลหน้าใหม่” ให้มากขึ้น การใช้บริการภาพของคุณแพทองธาร ชินวัตร หรือคุณเศรษฐา ทวีสิน ถี่เกิน อาจจะบอบช้ำมากเกินไป เปลืองพื้นที่

ดังนั้นก็ต้องชูให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีบุคลากรที่น่าสนใจ เช่น ด้านการพูดอย่างนักเศรษฐศาสตร์ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล ซึ่งสามารถอธิบายภาษาง่ายๆ ให้ประชาชนเข้าใจได้ดี หรือบุคลากรสำคัญอื่นๆ ที่เป็นคนจัดทำนโยบาย ควรออกมาแถลงไขได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีองค์ประกอบหลายส่วนที่ทำให้ประชาชนเกิดความสนใจว่าอยากจะเลือก

และหากพรรคเพื่อไทยผิดคำพูด ประชาชนที่เลือกก็จะรู้สึกว่าถูกพรรคเพื่อไทยหักหลัง คะแนนในอนาคตเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งถัดไป ตัวแปรสำคัญคือความรู้สึกของคนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทย จะเปลี่ยนใจไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้น และจะขึ้นมาทดแทนในฐานะแกนนำของฝ่ายอุดมการณ์แบบเสรีนิยมแทนพรรคเพื่อไทย

หากพรรคเพื่อไทยประเมินความรู้สึกของประชาชนที่เคยเลือกหรือที่จะเลือกต่ำเกินไป ในจุดนี้ต้องระมัดระวัง ดังนั้น สิ่งสำคัญว่าคุณจะมีอำนาจต่อรองหรือไม่ 1.ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ และ 2.การเหลียวมองกับพรรคพวกที่มีขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน มันจะนำไปสู่การอธิบายต่อฐานมวลชน เขาจะรู้สึกว่าพรรคเพื่อไทยได้รักษาอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเองต่อไป

ด้านพรรคพลังประชารัฐก็ต้องทำทุกอย่างให้ตัวเองมีอำนาจ ต้องการจะไปต่อ แต่ในขณะเดียวกันพลังประชารัฐก็ต้องประเมิน ทบทวนยุทธศาสตร์ใหม่ตัวเองให้ดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พยายามชูบทก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ในขณะเดียวกันลูกพรรค บรรดาแกนนำไม่ว่าจะคุณไพบูลย์ นิติตะวัน คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รับบทย้อนแย้ง พูดง่ายๆ ว่า พล.อ.ประวิตรต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ลูกทีมก็พยายามทำบทย้อนแย้งให้ มันไม่ไปด้วยกัน

ทำให้ประชาชนไม่เกิดความเชื่อมั่น หรือความเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความขัดแย้งจริงๆ ในเมื่อลูกพรรคตัวเองยังมีวิธีการหาเสียงในรูปแบบที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ แล้วสิ่งสำคัญ การก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำให้พลังประชารัฐต้องเล่นบททุกวิถีทาง พลังประชารัฐต้องเล่นบทบาทในฐานะผู้รับฟัง ผู้เสนอทางออก

แต่ขณะเดียวกัน การแตะมือหลายค่ายความคิด เอาใจทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม เอาใจทั้งฝ่ายเสรีนิยม มันเหมือนจับปลาแบบหลายเหยื่อ สุดท้ายก็จะไม่มีเหยื่อที่ไหนมาฮุบ มันจะเสียของ สิ่งที่กระทำขึ้นมันจะเสียของทุกอย่าง ไม่ได้อะไรเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image