หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณีพรรคการเมืองประกาศจุดยืนหาเสียงไม่จับมือกับพรรคโน้นพรรคนี้ จะเกิดเดดล็อกหลังรู้ผลเลือกตั้งหรือไม่ และสูตรไหนมีความเป็นไปได้ในสมการการเมือง
ตรีเนตร สาระพงษ์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
เมื่อพรรคเพื่อไทยถูกปาดหน้าในโค้งสุดท้ายด้วยพรรคก้าวไกล อันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนของพรรคเพื่อไทยว่าจะร่วมกับผู้มีความด่างพร้อยในการปฏิวัติรัฐประหารอย่างลุงป้อมหรือไม่ ซึ่งหากย้อนฟังคำสัมภาษณ์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ให้สัมภาษณ์กับเดอะสแตนดาร์ดก็ดี กับคุณจอมขวัญก็ดี ล้วนแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ชัดว่าจะร่วม หรือไม่ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พอมาวันนี้ย้ำว่าไม่ร่วมก็ยิ่งทำให้เห็นภาพการกลับไปกลับมาของพรรคเพื่อไทย ในขณะที่พรรคก้าวไกลมีความชัดเจนมาตลอด โดยเฉพาะเวทีดีเบตและการสัมภาษณ์ต่างๆ ที่คลิปถูกนำไปขยายต่ออย่างทรงพลัง ประกอบกับความชัดเจนในแง่การแก้ไขมาตรา 112 จึงทำให้ความนิยมในพรรคก้าวไกลปาดหน้าเข้าเส้นชัยจากผลโพล ที่สำคัญเป็นผลโพลสุดท้ายก่อนกฎหมายห้ามทำโพล 7 วัน จึงเป็นผลโพลที่มีความสำคัญต่อการชี้นำในเชิงจิตวิทยาเป็นอย่างมาก
และการหาเสียงนับจากนี้ในฝากฝั่งของพรรคฝั่งเสรีนิยมคือการแข่งกันไม่เอาลุง คือทั้งลุงป้อม ทั้งลุงตู่เพราะถ้ามีการเอาลุงใดลุงหนึ่งก็ย่อมไม่ใช่เสรีนิยมหรือมีเปอร์เซ็นต์ของประชาธิปไตยน้อยในทรรศนะของโหวตเตอร์
ตัวชี้วัดด้านประชาธิปไตยดังกล่าวจึงทำให้พรรคเพื่อไทยต้องงัด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากห้องคลอดมาแถลงข่าวด่วนว่าไม่ร่วมกับพรรคฝั่งอนุรักษนิยม และหากรักษาคำพูด ผลก็อาจทำให้เกิดเดดล็อกทางการเมืองหลังเลือกตั้ง และเกิดการจัดตั้งรัฐบาลในแนวทางดังนี้
1.จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า ต้องไม่ลืมว่าการจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องผ่านยกที่ 1คือการโหวตนายกรัฐมนตรีก่อน เมื่อได้นายกรัฐมนตรีแล้วค่อยไปยก 2 คือ จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น ยกแรกฝ่ายเสรีนิยมจึงพยายามวางกติกาว่าพรรคใดมี ส.ส.มากที่สุดจะมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น และในทรรศนะของผมไม่เชื่อว่าพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมจะเอาด้วยกับกติกานี้ หากพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งคาดการว่าจะได้ ส.ส.รวมกันประมาณ 130 คนบวกลบ เมื่อรวมกับ ส.ว. 250 คนบวกลบ รวมกันแล้วจะมีพลังโหวตนายกรัฐมนตรีในเกมแรกสูงถึง 380 คน ในขณะที่พรรคฝ่ายเสรีคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลรวมกันมี ส.ส.ประมาณ 270 คนจึงเชื่อว่าพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมจะไม่ทิ้งโอกาสสุดท้ายเพียงโอกาสเดียวนี้แน่นอน เกมในยกที่ 1 ฝ่ายอนุรักษนิยมจึงชนะ แต่ปัญหาจะอยู่ในยกที่ 2 เพราะเมื่อได้นายกรัฐมนตรีแล้วอาจต้องมีแม่เหล็ก ซึ่งพลานุภาพสูงเพื่อทำการดูด ซึ่งก็ได้กลิ่นจากคำสัมภาษณ์จากนายวิษณุ เครืองาม ที่เผยวิธีคิดนี้ออกมา
ดังนั้น ฝั่งอนุรักษนิยมอาจต้องเตรียมกระสุน และกล้วยเอาไว้ใช้ในช่วงจัดตั้งรัฐบาลด้วยและอาจได้เห็นภาพการจัดตั้งรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ค่าตัวนักการเมืองอาจแพงพอๆ กับค่าตัวนักเตะในพรีเมียร์ลีก และเมื่อกฎหมายไม่ห้ามก็จะจัดตั้งรัฐบาลและเป็นรัฐบาลรักษาการกันแบบยาวๆ ซึ่งถามว่ายาวแค่ไหน คำตอบคือยาวจนกว่าจะได้ (ดึง, ดูด, แจกกล้วย, แบ่งเค้ก) จำนวน ส.ส.มากพอเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาประกาศว่าจะไม่ยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลก็อาจอ้างมติพรรค หรืออาจได้เห็นภาพแบ่งเก้าอี้นายกฯระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล และอาจได้เห็นภาพส้มหล่นใส่นายอนุทิน หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้ ส.ส.ไม่ถึง 25 คน
2.พรรคเพื่อไทยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งอาจเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคภูมิใจไทย รวมถึงพรรคเล็ก แต่อาจไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ แนวทางนี้เชื่อว่าเป็นแนวทางที่อยู่ในใจของพรรคเพื่อไทยเพราะนอกจากได้ ส.ส.มาสนับสนุนแล้วยังทำให้การต่อสู้โหวตนายกฯในยกที่ 1 มีโอกาสชนะเพราะบารมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ส่งจดหมายเปิดประตูอ้าแขนรับอยู่ก็จะดึง ส.ว.มาสนับสนุนปัญหาก็จะอยู่ที่ว่าจะเป็นการโกหกประชาชนหรือไม่ ก็เชื่อว่าพอถึงเวลาก็อาจอ้างว่าเป็นความเห็นส่วนตัว เรื่องของคนคนเดียวไม่ใช่มติพรรค และอาจมีภาพความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งที่สำคัญ จากนั้น ยก 2 จัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ยากนักเพราะเมื่อมีตำแหน่งมาแบ่งกันหลายพรรคก็อยากร่วมเป็นรัฐบาล แต่เชื่อว่าแนวทางนี้จะขับให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน
3.พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจับมือกันแลนด์สไลด์ แต่ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องแลนด์สไลด์ได้จำนวน ส.ส.มากพอที่จะชนะ ดังนั้น แนวทางนี้จึงมี 3 ยก ยกแรกต้องชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ส่วนเกมในยกที่ 2 คือในเกมโหวตนายกฯ คือต้องได้จำนวน ส.ส.รวมกัน 2 พรรคมากกว่า 375 คน จึงจะเอาชนะ 250 ส.ว.กับ ส.ส.ฝั่งอนุรักษนิยม 125 คน ซึ่งแนวทางนี้มีความเป็นไปได้ เพราะพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลไม่เคยประกาศจุดยืนที่จะไม่ร่วมงานกัน แต่ก็จะมีปัญหาความเห็นต่างในรายละเอียดของนโยบาย โดยเฉพาะมาตรา 112 และเชื่อว่าด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกล หากเป็นรัฐบาลก็อาจมีภาพรัฐบาล hybrid คืออาจเป็นฝ่ายค้านได้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือการปรับโครงสร้างใหญ่ที่กระทบต่อสถาบันสำคัญ
ปลายทางสู่อำนาจในแนวทางที่ 1 กับแนวทางที่ 2 อาจได้เห็นภาพนักการเมืองตระบัดสัตย์ หรือหาทางลงให้พรรคแบบน้ำขุ่นๆ ส่วนแนวทางที่ 3 สามารถรักษาคำมั่นสัญญาได้ แต่ประชาชนต้องพร้อมใจกันปิดสวิตช์ ส.ว.แบบถล่มทลาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลประวัติศาสตร์การเมืองไทยสอนให้เรารู้ว่าไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมือง และการตระบัดสัตย์เพื่อชาติ ย่อมเป็นข้อยกเว้นคำมั่นสัญญาทั้งปวง
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
กระแสเกี่ยวกับพรรคการเมืองประกาศตัวอย่างชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ไม่เอาลุงตู่-ลุงป้อม หากมองไปแล้วเป็นการยืนยันของขั้วทางการเมืองที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้วคือ ปีกของฝ่ายอนุรักษนิยมกับปีกเสรีนิยม การประกาศในลักษณะเช่นนี้ เป็นไปในเชิงยุทธศาสตร์หาเสียง เพื่อทำให้ประชาชนที่มีความนิยมข้างใดข้างหนึ่ง
การที่พรรคก้าวไกลประกาศไม่ร่วมกับลุงตู่ ลุงป้อม “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” เป็นการยืนยันว่าคนที่ไม่ชอบฝั่งอนุรักษนิยม ก็ไม่ต้องเลือกทั้ง 2 ลุง เพื่อไม่ให้เกิดความลังเลใจ
ส่วนพรรคเพื่อไทยช่วงนี้ยังประกาศท่าทีไม่ชัดเจน การที่พรรคก้าวไกลประกาศชัดเจนแบบนี้ เพราะต้องการฐานคะแนนเสียง ท้ายที่สุดจะไปสู่แนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลอีกด้วย
ส่วนการที่พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยช่วงนี้เหมือนกับมีการแย่งฐานคะแนนเสียงกันเอง เมื่อพรรคก้าวไกลประกาศชัดเจนไม่เอา 2 ลุง ทำให้คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลสูงมาก โดยเฉพาะโพลทั้งประเทศพรรคก้าวไกลนำโด่งพรรคเพื่อไทย ซึ่งทำให้พรรคเพื่อไทยต้องตอกย้ำความชัดเจนกับเรื่องนี้ และแนวโน้มในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
พรรคก้าวไกลฉลาดชิงโอกาสประกาศจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากการเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นที่ 1 จากผลโพล และยังประกาศว่าจะตั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งประกาศว่าต้องการกระทรวงสำคัญๆ แสดงให้เห็นอำนาจการนำของพรรคก้าวไกลมีมากกว่าพรรคเพื่อไทย แต่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอม ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยจะต้องปฏิเสธพรรคก้าวไกลที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพราะไม่สมประโยชน์กับพรรคเพื่อไทย
ถึงแม้ว่ามวลชนอยากให้พรรคก้าวไกลร่วมกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันก็ตาม ซึ่งเป็นความผิดในการเดินกลยุทธ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
การที่พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะยึดตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งนี้ สร้างผลดีต่อคะแนนเสียงอีกด้วย เพราะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น และไม่ลังเลใจโดยมีผลพวงมาจากพรรคก้าวไกลต้องการทำการตลาดทางการเมือง ทำให้ผลโพลมีคะแนนสูงเรื่อยๆ และยังมีผลในเขตเลือกตั้งจริงๆ อีกด้วย
เพราะหากทำไม่ได้จะส่งผลให้คะแนนตกน้ำ ถ้าผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคก้าวไกลได้ 2-3 หมื่นคะแนน แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ถือว่าเป็นคะแนนตกน้ำ พรรคก้าวไกลจึงต้องการใช้จุดนี้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ในการสร้างกระแสให้คนไปเลือกตั้งพรรคก้าวไกล จึงส่งผลให้โพลสูงขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนสูตรการจัดตั้งรัฐบาลที่เหมาะสม โดยหลักการพรรคที่เป็นฝ่ายค้านในขณะนี้ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคที่เป็นฝ่ายค้าน หากร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล หากเสียงไม่พอ อาจจะต้องหาพรรคใดพรรคหนึ่งที่ไม่ใช่พรรค 2 ลุง ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทยมาร่วมรัฐบาล แต่คงยาก เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ประกาศปิดประตูตายไปหมด ก็ต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องถามว่าอยากเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือเปล่า เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ถ้าปิดไม่ได้ อาจจะต้องอาศัย ส.ว.ประมาณ 20 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามก็ต้องถามพรรคก้าวไกลว่าจะโอเคหรือไม่ เพราะอาจจะต้องใช้ ส.ว.ร่วมด้วยหากรวบรวมเสียงไม่ได้
อีกสูตรหนึ่ง พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้ตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญๆ กับพรรคก้าวไกล เพราะจะทำให้วาระสำคัญของพรรคเพื่อไทยขยับไม่ได้ อาจจะไปมีปัญหากับกลุ่มการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย ที่มีความประสงค์ในกระทรวงเกรดเอเช่นเดียวกัน อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับอีกฟากหนึ่งก็ได้ เพราะอุ๊งอิ๊งคนเดียวที่ยังไม่ปิดประตูตาย หากพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทยจริงๆ หากนายเศรษฐาและ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกไปเรื่องก็จบ พรรคเพื่อไทยก็ไปต่อได้
อีกทางหนึ่งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อย่างที่นายวิษณุ เครืองาม พูดเอาไว้ หากเสียงข้างมากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 5-7 วัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีโอกาสที่จะรวบรวมเสียง ส.ส.ในซีกรัฐบาลเดิม หรืออาจจะมีงูเห่าจากซีกประชาธิปไตยมาร่วมการจัดตั้งรัฐบาลก็อาจเป็นไปได้ โดยอาศัย ส.ว.
โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล หากมองกระแสสังคมก็ต้องการอย่างนั้นรวมทั้ง ส.ส.ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลก็ต้องการอย่างนั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามก็ต้องดูผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคเพื่อไทยจะเอาไหม ก็คือนายทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งผู้มีอิทธิพลภายในพรรคเพื่อไทยจะเอาด้วยหรือไม่ หากเอาพรรคก้าวไกล ทางพรรคเพื่อไทยจะต้องยอมเสียกระทรวงเกรดเอให้กับพรรคก้าวไกลทั้งหมด ปัญหาสำคัญๆ ก็อยู่ที่ว่าการจัดตำแหน่งแห่งที่ของรัฐมนตรีก็เท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ จากการฟังข่าวของเลขาธิการพรรคก้าวไกลประกาศว่า หากพรรคเพื่อไทยจะร่วมจัดตั้งกับพรรคก้าวไกล จะต้องทำ MOU เปิดหลักฐานให้ประชาชนเห็นว่า ร่วมกันแล้วจะทำอะไรบ้าง ซึ่งในเรื่องนี้คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องคิดหนักพอสมควร
การที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลต้องการปิดทางลุงตู่ไม่ให้สานต่อทางการเมือง หากมองในทางดิ้นของลุงตู่แล้วมีทางเดียวคือ การผนึกกำลังของพรรคซีกรัฐบาลเดิมให้ได้มากที่สุดแล้วใช้อำนาจ ส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และอาจจะมีตัวช่วยอื่นๆ
ส่วนการวางตัวของลุงตู่กับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ คิดว่าเมื่อมาสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง คิดว่าจะต้องสู้อย่างเต็มกำลัง เท่าที่สรรพกำลังที่มีอยู่ จะเห็นว่าหลายพื้นที่เริ่มปลุกคนเสื้อเหลือง ปลุกชาติศาสนา ปลุกผีทักษิณ ปลุกคนเสื้อแดง มาเป็นเงื่อนไขในการต่อสู้ทางการเมือง คิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติคงมาได้แค่นี้ เพราะชนเพดาน ไม่สามารถขายอย่างอื่นได้ นโยบายทั้งก็หมดแป้ก นอกจากนี้ยังต้องอาศัยกลไกอำนาจพิเศษ อาทิ ตำรวจ ทหาร ที่มีอยู่คอยบล็อกฝ่ายตรงข้ามในการหาเสียง
รวมทั้งใครที่มีคดีความออกหมายจับหมายเรียกก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองกับกลุ่มคนที่มีปัญหาในเรื่องนี้ ให้กังวลใจในเรื่องคดีความ
พรรครวมไทยสร้างชาติไม่มียุทธวิธีหาเสียงในเรื่องอื่นแล้ว ดีเบตก็แพ้ นโยบายก็สู้เขาไม่ได้