‘พิธา’ ครองหุ้นสื่อ แพ้ฟาวล์ซ้ำรอย ‘ธนาธร’?

‘พิธา’ครองหุ้นสื่อ แพ้ฟาวล์ซ้ำรอย‘ธนาธร’? หมายเหตุ - ความเห็นนักวิชาการ

หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถูกร้องเรียนเรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเช่นเดียวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หรือไม่

ยอดพล เทพสิทธา
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ในกฎหมายมีการกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามของ ส.ส. เป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีไว้ด้วย หนึ่งในนั้นคือการถือหุ้นสื่อ จริงๆ เป็นปัญหามาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คือเป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญ คราวที่แล้วจะเห็นการไปร้อง ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ผมว่าตรงนี้ต้องตีความที่เจตนารมณ์ว่าหุ้นที่ถืออยู่ในขณะนั้นเป็นหุ้นของสื่อที่มีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อจริงหรือไม่ กรณีของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหุ้นไอทีวี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาประกาศแล้วว่ายุติการซื้อขายบนแพลตฟอร์มภายในตลาดหุ้น และต้องดูว่าบริบทของไอทีวีในขณะนี้มีลักษณะอย่างไร ในปี 2538 ไอทีวีเข้าร่วมงานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นลักษณะของการทำสัญญาเข้าร่วมงานแบบร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เมื่อทางสำนักปลัดฯยกเลิกสัญญาและมีการปิดการดำเนินการไปแล้ว ต้องถามว่าเวลานี้หุ้นไอทีวีมีสถานะเป็นหุ้นสื่อหรือไม่ เพราะดูรายได้ของไอทีวีตอนนี้ก็ไม่ได้มาจากการประกอบกิจการสื่อและมีหนังสือออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าหยุดประกอบกิจการไปแล้ว เพราะฉะนั้นหุ้นนี้ในทางกฎหมายมีลักษณะเป็นการถือหุ้นเพื่อให้มีความเป็นนิติบุคคลในทางคดีมากกว่า ส่วนการดำเนินการหรือไม่นั้นต้องไปอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทว่าดำเนินการสื่อจริงหรือไม่ ถ้าศาลหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีความแบบทื่อๆ ผมว่า ส.ส.จะหายไปเกินครึ่งสภา

สำหรับประเด็นผู้จัดการมรดก สามารถตีความได้หลายทาง ในทางกฎหมายผู้จัดการมรดกไม่ใช่เจ้าของทั้งหมด อาจจะเป็นแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือไม่ใช่เลยก็ได้ ต้องไปดูในพินัยกรรมว่ากำหนดให้เป็นผู้จัดการมรดกส่วนหนึ่ง หรือถ้ามีพินัยกรรมจริง จะต้องดูว่าการระบุถึงหุ้นส่วนนี้หรือไม่ หากไม่มีการระบุก็ถือว่ายังไม่ถือว่าเป็นของใคร ประเด็นต่อมาคือเท่าที่ดูตัวเลขสัดส่วนหุ้นคือ 42,000 หุ้นเท่ากับ 0.03% ถ้ามองจากสัดส่วนถือว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะครอบงำได้ มีสิทธิเพียงเข้าประชุมรับฟัง แต่ผมก็ไม่แน่ใจในข้อบังคับบริษัท ดังนั้นตรงนี้จึงมีการตีความค่อนข้างยาก แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นของหุ้นไอทีวีที่ผมมองว่ากำลังจะมีปัญหาในอนาคตคือ ตอนนี้สำนักปลัดฯยื่นอุทธรณ์มายังศาลปกครองสูงสุดในเรื่องของการเลิกสัญญา ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยยกคำร้องไปแล้ว คือให้เป็นไปตามมติของคณะอนุญาโตตุลาการ ถ้าไปถึงศาลปกครองสูงสุดและยืนตามศาลชั้นต้น หมายความว่าการยกเลิกสัญญาระหว่างสำนักปลัดฯกับไอทีวีไม่มีผลทางกฎหมาย ถือเป็นการยกเลิกสัญญาที่ผิดกฎหมาย ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีว่าสถานะของไอทีวีจะกลับไปสู่บริษัทที่ทำสื่อ เพราะสัญญาถึงปี 2568 หรือสัญญาได้ยกเลิกไปแล้วแต่ฝ่ายรัฐชดใช้ค่าเสียหายแทน ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่จะมีปัญหากันขึ้นมาอีกในอนาคต

Advertisement

คดีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่ต่างกัน เพราะตอนนั้นคือบริษัทจดทะเบียนชำระบัญชีและปิดบริษัทไปแล้ว แต่นี่บริษัทยังไม่ปิด เพราะยังต้องคงสถานะเพื่อจัดการในเรื่องของกฎหมายอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูในทางข้อเท็จจริงว่าไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ต้องเข้าใจองค์ประกอบของกิจการสื่อในบ้านเราก่อนว่าไอทีวีเป็นสื่อใช้คลื่นความถี่ในการเผยแพร่ เมื่อถูกยกเลิกสัญญาก็ไม่มีสิทธิ และไม่ได้ดำเนินการในการขออนุญาตใช้กับสำนักงาน กสทช. แล้วเรายังจะถือว่าเขาประกอบกิจการสื่อได้อีกหรือไม่ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าการประกอบกิจการสื่อในปัจจุบันต้องได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ผมเชื่อว่าตอนนี้ไอทีวีไม่มี แต่หากถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดก็คงถูกตัดสิทธิและพรรคก้าวไกลอาจจะต้องหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ผมเชื่อว่าไม่น่าจะถูกตัดสิทธิเพราะถ้าเราเอาข้อเท็จจริงตามที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้ไว้ คือคุณสมบัติการถือหุ้นสื่อเป็นข้อห้ามของ ส.ส. และได้เคยแจ้งกับสำนักงาน ป.ป.ช.ไปแล้ว คำถามคือพิธาเป็น ส.ส.มา 4 ปีและ ป.ป.ช.รับทราบมาตลอด ไม่มีใครทักท้วงหรือว่ามีคุณสมบัติต้องห้าม ถ้ามีการผิดพลาดจริงใครเป็นคนต้องรับผิดชอบความเสียหายนี้ คือ ป.ป.ช.แน่นอน เพราะถือว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหาย กกต.เองก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นข้อมูลที่ทราบอยู่แล้ว

และการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้จะมีปัญหาทันที เพราะหลายคนมีหุ้นในบริษัท แม้ไม่ได้ผลิตสื่อแต่ในหนังสือบริคณห์สนธิกำหนดวัตถุประสงค์บอกว่าจะทำสื่อ ดังนั้นในการวินิจฉัยหากเรื่องเป็นคดีความไปถึงศาลผมมองว่าศาลควรจะใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยถึงวัตถุประสงค์มากกว่าที่จะวินิจฉัยจากตัวถ้อยคำ

Advertisement

เอกชัย ไชยนุวัติ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) เป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ที่สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ต้องการมิให้ ส.ส. หรือนักการเมืองที่มีตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันที่สามารถจะชี้นำสื่อได้ นี่คือเจตนารมณ์ของมาตรานี้เกี่ยวกับกรณีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประเด็นแรกคือมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวนทั้งสิ้น 42,000 หุ้น เป็นเรื่องจริง ประเด็นถัดมาคือ บริษัทดังกล่าวเป็นสื่อ และบริษัทนี้เป็นสื่อได้ปิดกิจกรรม ยุติบทบาท และเลิกผลิตไปแล้ว สถานีของไอทีวี โทรทัศน์จอดำถาวรไปหลายสิบปี จากประเด็นทั้งหมดสามารถตีความได้ว่ากรณีนี้ไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ไม่มีปัญหาในการเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตามความคิดเห็นส่วนตัว ยืนยันว่าไม่มีความผิด

ในกรณีของกระแสสังคมที่มีการตั้งคำถามถึงประเด็นดังกล่าวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกทั้งสมาชิกพรรคยังประกอบไปด้วยอาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่ยังพลาดกับประเด็นนี้อยู่ ในมุมมองส่วนตัว กรณีนี้ต้องดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือผู้สมัคร ส.ส.มีอิทธิพลชี้นำสื่อ ดังนั้นถ้าหากมองตามเจตนารมณ์ บริษัทไอทีวีปิดกิจการไปแล้วกว่าสิบปีนั้น ไม่สามารถจะถูกชี้นำโดยบุคคลที่ชื่อพิธาได้เลย เพราะไม่ทราบว่าจะชี้นำอย่างไร หากเทียบเคียงกรณีของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ถือหุ้นเอไอเอส จำนวน 200 หุ้น จาก 1,200 ล้านหุ้น ก็ไม่มีทางจะไปชี้นำได้หรือครอบงำสื่อได้ เพราะฉะนั้นผมจึงมีการตีความอย่างนี้ การยื่นคำร้องช่วงนี้ ในทางการเมืองนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 14 นี้แน่นอน เนื่องจากจะมีผู้คนสงสัย เกิดการตั้งคำถามในสังคมว่า หากเลือกแล้วจะแพ้ฟาวล์อย่างธนาธรหรือไม่ หากตีความด้วยความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ ในกรณีนี้พิธาไม่มีทางใดเลยที่จะไปชี้นำสื่อชื่อไอทีวี ปิดกิจการไปหลายสิบปีได้

จากประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จึงส่งผลให้เกิดการร้องเรียนถึงประเด็นดังกล่าว เรียกได้ว่าช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนี้ จะส่งผลกระทบแน่นอน ทำให้คนเริ่มสงสัยว่าจะเลือกพรรคก้าวไกลดีหรือไม่ ทั้งยังส่งผลต่อการตัดสินใจในวันที่ 14 นี้ อย่างแน่นอน แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว หากมองตามกฎหมายและตีความตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าพิธาไม่มีทางจะไปชี้นำสื่อที่ปิดแล้วได้

ด้านความคิดเห็นเรื่องของกฎเกณฑ์การถือหุ้นสื่อส่วนตัวยังยืนยันว่าต้องมองเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญห้ามมิให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น อาจมีผู้สมัครบางท่านชี้นำสื่อ หรือสร้างกระแสให้กับตนเองได้ ดังนั้นในแต่ละกรณีต้องวิเคราะห์ ดูให้ละเอียดว่าการถือหุ้นนั้นมีเจตนาชี้นำหรือครอบงำกิจการสื่อนั้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทมหาชนที่มีหุ้นมากกว่า 1,000 ล้านหุ้น หากมองตามความเป็นจริงคือเป็นไปไม่ได้ บริษัทมหาชนอาจจะกำหนดไว้เป็นกฎหมายว่า หากถือหุ้นถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีการแจ้งการครอบครองหุ้นนั้นให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯทราบ เป็นต้น

ย้อนกลับไปประเด็นที่พูดไปข้างต้น คือบริษัทนี้ปิดไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 เหลือแต่หุ้นยังไม่ถูกกระจายออกไป เพราะว่ายังคงมีคดีฟ้องร้องกับทางสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ศาลยังตัดสินคดีไม่ถึงที่สุด ส่งผลให้ยังคงต้องมีบริษัทนี้จนกว่าศาลจะมีการพิพากษาว่าในอนาคตจะเป็นไปในทางใด ในส่วนของกรณีที่เกิดขึ้น เป็นการนำช่องโหว่ทางกฎหมาย มาใช้ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ส่วนตัวเห็นว่าไม่ว่าจะเกลียดกันมากขนาดไหนก็ตาม แต่การแข่งขันต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมา ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยในเรื่องที่ว่าพิธาจะมีโอกาสแพ้น็อกเหมือนอย่างกรณีของธนาธรได้

ด้านภาพรวมของคดีที่เกิดขึ้น ในแง่ของกรณีการถือหุ้นสื่อระหว่าง ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั้น หากคดีความถึงศาลรัฐธรรมนูญและมีการวินิจฉัยก็ขอให้ศาลท่านมองดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย และดูข้อเท็จจริงว่า สื่อไอทีวี ปิดกิจการตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ไม่มีพนักงานใดๆ ไม่มีการทำธุรกิจสื่อนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ถ้าหากดูข้อเท็จจริงที่กล่าวมานี้ ก็อยากขอให้ศาลยึดเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่หากถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจจะมีโอกาสซ้ำรอยกับกรณีของธนาธรถูกตัดสิทธิทางการเมือง อาจมีโอกาสที่ กกต.อาจจะยื่นคำร้องว่าพิธานั้นทราบอยู่แล้วหรือไม่ว่าตนเองมีลักษณะต้องห้าม ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอถ้าหาก กกต.คิดเห็นเช่นนี้ ในอนาคตก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดความคิดเห็นทั้งหมดนี้ยึดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image