จากการได้ติดตาม “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปออกรายการให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดและวิธีการทำงาน ถ้าหากพรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาล บทบาทของ “ลุงป้อม” ที่กล่าวไว้ ในการจะอาสานำพาคนไทยก้าวข้ามความขัดแย้งเริ่มเห็นได้เด่นชัดมาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ “ลุงป้อม” ลงพื้นที่ ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาใกล้ชิดถ่ายรูปพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
โดยเฉพาะ เวลา “ลุงป้อม” ไปเดินตลาดไปเดินห้างจะมีแฟนคลับซึ่งเป็นวัยรุ่นมาขอถ่ายรูปมาขอเซลฟี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง “ลุงป้อม” ก็พูดคุยอย่างเป็นกันเองโดยเฉพาะเมื่อ น้องมายด์ ภัสราวลี บุกมาขอสัมภาษณ์ “ลุงป้อม” ถึงที่พรรคพลังประชารัฐ “ลุงป้อม” ก็อนุญาตให้เข้ามาสัมภาษณ์แบบประชิดตัวด้วยความเป็นกันเองและยังถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกเป็นการเปิดทางรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ ยังเห็น “ลุงป้อม” วิดีโอคอลพูดคุยกับนิสิตนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัย นับว่าเป็นการเริ่มที่ดีในการรับฟังความคิดเห็นของคนทุกวัย และนำปัญหามาแก้ไขอันเป็นแนวทางสู่การก้าวข้ามความขัดแย้งในสังคมไทยที่มีความแตกต่างทางด้านความคิดแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ นำพาประเทศเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจไม่หยุดชะงักอย่างที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวไว้ในหลายๆ รายการที่ไปออกทีวีให้สัมภาษณ์
ยังมีผลงานที่ “ลุงป้อม” พูดถึงอย่างเช่น การลงพื้นที่ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศดูแลประชาชนเรื่องการบริหารจัดการน้ำการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนที่มีความเดือดร้อน ผลงานในเรื่องการปราบปรามการค้ามนุษย์ การต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย การผลักดันราคาปาล์มน้ำมันให้สูงขึ้น ให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมรายได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นคือผลงานที่ผ่านมาของ “ลุงป้อม”
ประเด็นที่น่าสนใจที่เป็นแนวคิดกลยุทธ์ในการทำงานที่ “ลุงป้อม” พูดถึงในทุกรายการที่ไปให้สัมภาษณ์ นั่นคือ “เร็ว ช้า หนัก เบา” เร็ว คือ คิดเร็ว สั่งการเร็ว ช้า คือ “ลุงป้อม” เป็นคนเดินช้า หนัก เป็นคนหนักแน่นไม่หูเบา ฟังความทุกฝ่าย เบา คือ เป็นคนตัวเบา ไม่มีภาระไม่มีครอบครัวสามารถทำงานให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่ ไม่ได้สะสมไปเพื่อใคร “ลุงป้อม” อยากทำงานเพื่อประชาชนฝากผลงานไว้ให้กับคนรุ่นหลัง เพื่อประเทศชาติ
หากฟังสรุปจากมุมมองของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าบทบาทและมุมมองของชายชื่อ “ประวิตร” มีความตั้งใจที่จะนำพาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าประชาชนรักใคร่สามัคคีกัน มีความอยู่ดีกินดี สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ ด้วยการรับฟังความคิดเห็นทุกๆ ฝ่าย
แต่บทบาทนี้จะถูกยอมรับหรือไม่ คงต้องตัดสินกันในวันที่เลือกตั้ง วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ อย่ากะพริบตา