หมายเหตุ – นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 ปี 2567 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์
ไตรมาส 4 ปี 2567 การจ้างงานลดลงเล็กน้อย โดยผู้มีงานทำมีจำนวน 40.1 ล้านคน ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2566 เล็กน้อยที่ 0.4% ผลมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ 3.6% ขณะที่ภาพรวมสาขา นอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ที่ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคารที่ขยายตัว 9.4% และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้าที่ขยายตัวตามการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนสาขาการผลิตขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.3% จากอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตยานยนต์ และการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี การจ้างงานยังหดตัวลงต่อเนื่อง
สำหรับอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 0.88% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 3.6 แสนคน ซึ่งในกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อนส่วนใหญ่ออกมาจากสาขาการผลิต และสาขาการขายส่ง/ขายปลีกและอัตราการมีงานทำ ปี 2567 อยู่ที่ 98.6% ทรงตัวจากปี 2566 โดยจำนวนผู้มี งานทำมีจำนวน 39.8 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 0.3%
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่
1.การกีดกันทางการค้าในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษีจากสหรัฐอเมริกา อาจกระทบต่อการส่งออกและการจ้างงาน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก จากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งไทยยังมีประเด็นด้านการจัดการการค้ามนุษย์ ที่ได้รับการจัดอันดับรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในระดับ Tier 2 มาตั้งแต่ปี 2565
2.การตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติเพื่อป้องกันการทำงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งแม้ว่าไทยจะมีมาตรการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวตาม บันทึกความเข้าใจ (MOU) แต่ยังพบการกระทำผิดของสถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก
3.แรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์จำนวนมากยังไม่ได้ใช้สิทธิลาคลอดเต็มจำนวนโดยเฉลี่ยใช้เพียง 30-59 วัน จากสิทธิวันลาคลอด ทั้งสิ้น 98 วัน เนื่องจากต้องการรายได้/โอที รวมทั้งการกลัวถูกลดโบนัส แม้ว่าองค์การอนามัยโลกจะสนับสนุนให้บุตรได้กินนมแม่ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือนก็ตาม
นอกจากนี้ ปัญหาหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง ในไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งการชะลอตัวดังกล่าวทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 89.0% ซึ่งการปรับลดลงของสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ไม่ได้สะท้อนถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ลดลง แต่เกิดจากการชะลอตัวของหนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับอัตราขยายตัวของจีดีพี ดังนั้นหากหนี้สินครัวเรือนและจีดีพีขยายตัวในอัตราที่ต่ำทั้งคู่ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนในระยะถัดไป
ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) ในฐาน ข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.46% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเพื่อการเกษตร
นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1.การประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ที่มีปัญหาเข้าร่วมโครงการ คุณสู้ เราช่วย โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี (SMEs) ขนาดเล็ก จำนวน 2.1 ล้านบัญชี 1.9 ล้านราย แต่ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมไม่มาก
2.การสร้างความตระหนักรู้ทางการเงิน เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อจากภัยการเงิน เนื่องจากปัจจุบันพบมิจฉาชีพหลอกหลวงผ่านคำโฆษณาชวนเชื่อ อาทิ ปิดหนี้ให้ ไม่คิดดอกดอกต่ำมาก หรือเข้ามาช่วยปิดหนี้ให้แล้วชักชวนลงทุน ซึ่งสร้างความเสียหายต่อลูกหนี้เป็นจำนวนมาก
3.การติดตามความคืบหน้าการแก้ไข พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้ รายย่อย ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูหนี้สิน โดยการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้หลายรายในคราวเดียวซึ่งจะช่วยลดจำนวนลูกหนี้ที่จะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องล้มละลายและถูกยึดทรัพย์
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังในไตรมาส 4 และภาพรวม ปี 2567 เพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเพิ่มขึ้นและต้องให้ความสำคัญกับอัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 10-14 ปี ที่เพิ่มขึ้น และสูงเกินค่าเป้าหมาย รวมถึงไตรมาส 4 ปี 2567 การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น 27.6% จากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วย โรคไข้หวัดใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 1.5 เท่า เนื่องจากมีการระบาดต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสหนึ่งถึงไตรมาสสี่ สำหรับในภาพรวมปี 2567 พบผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 31.8% โดยเป็นผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สูงที่สุด
ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะต่อไป คือ
1.ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 หรือ PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับปัญหามลพิษทางอากาศมากถึง 12.3 ล้านราย และในปี 2568 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-14 กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนผู้ป่วยแล้ว 9.8 แสนราย
2.อัตราคลอดในวัยรุ่นอายุ 10-14 ปี ที่เพิ่มขึ้นและสูงเกินค่า เป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ ขณะที่การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ในไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2567 เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น
มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือ การจำหน่ายขนมที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์คล้ายบุหรี่ไฟฟ้า การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมของสารเสพติดและสารอันตราย รวมทั้งการจูงใจให้ดื่มด้วยเงินหรือรางวัล
ซึ่งในไตรมาส 4 ปี 2567 การรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 26.0% ซึ่งสินค้าออนไลน์มีการร้องเรียนสูงสุด ขณะที่การร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ลดลง 12.4% สำหรับปี 2567 การร้องเรียนโดยรวมลดลง 20.4% ทั้งจาก สคบ.และสำนักงาน กสทช.
ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญคือ
1.ความเสี่ยงของการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่มาจากการใช้งานแอพพลิเคชั่นอันตรายโดยเฉพาะในรูปแบบที่ใช้ผลประโยชน์ล่อลวงผู้ใช้งาน อาทิ แอพพลิเคชั่นล่าเหรียญแลกเงินจากประเทศอินโดนีเซีย (Jagat) ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเด็กและเยาวชนจากการให้เงินรางวัลจูงใจมูลค่าสูง แต่มีความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พิกัดตำแหน่ง
2.การติดตามผลการบังคับใช้ พ.ร.ก.ไซเบอร์ (ฉบับใหม่) ในประเด็นการร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภค การควบคุมแพลตฟอร์ม P2P โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียนในไทย และการติดตามตรวจสอบการใช้อำนาจของ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.การแพร่ระบาดของโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายทางออนไลน์ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พบการโฆษณาผิดกฎหมายถึง 97.0% ของโฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหมด
จากบทความเรื่อง การบรรลุเป้าหมาย SDGs ในการยุติความยากจนหลายมิติ
สศช.จึงได้พัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย (MPI) เพื่อนำมาใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ โดยในเป้าหมายย่อยที่ 1.2 คือ ลดสัดส่วน ชาย หญิง และเด็ก ทุกช่วงวัย ที่อยู่ภายใต้ความยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2573
โดยปี 2566 ไทยได้บรรลุเป้าหมายในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว โดยมีคนจนหลายมิติจำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.76% จากประชากรทั้งหมด ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนคนจนหลายมิติ 20.08% พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานจาก 16.06% เป็น 6.03% อย่างไรก็ตาม สัดส่วนคนจนหลายมิติในเกือบทุกภูมิภาคลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ยกเว้นภาคใต้
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายเกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด MPI จะพบตัวชี้วัดที่มี การพัฒนาที่ดีขึ้นมาก คือ การใช้อินเตอร์เน็ต การเข้าถึง น้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และการมีบำเหน็จบำนาญ
โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก 1.การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 2.การพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตร และการอุดหนุนทรัพยากรการศึกษา และ 3.การสร้างและเพิ่มความครอบคลุมของหลักประกันทางสังคม
สถานการณ์ความยากจนหลายมิติของไทย ยังมีประเด็นท้าทายหลายด้านดังนี้
1.แม้ว่าคนจนหลายมิติจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะคนจนอีกกว่า 18.8% ที่กำลังประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อน อาจหลุดพ้นความยากจนได้ยาก
2.คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ โดยมีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด
3.การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ แม้ว่าจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณมากกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญอยู่ในอันดับสูง อีกทั้งข้อจำกัดการดึงแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ รวมถึงการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการไม่มีหลักประกันยามเกษียณ
4.การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด เนื่องจากปัญหามีความเชื่อมโยงกันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ไทยจึงต้องมีแนวทางการลดความยากจนในระยะ ถัดไป ดังนี้
1.การปรับเป้าหมาย ตัวชี้วัด และเกณฑ์ความขัดสนให้มีความท้าทายยิ่งขึ้น
2.การส่งเสริมให้นำ MPI มาวิเคราะห์เพื่อหากลุ่มเป้าหมายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความยากจน
3.การใช้ MPI เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา
4.การจัดทำข้อมูลให้สะท้อนคุณภาพชีวิตและครัวเรือนทุกรูปแบบเพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ได้อย่างแท้จริง