‘รัฐ-เอกชน’ ผนึกรับมือ ‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีตอบโต้ไทย

หมายเหตุ – นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงาน นโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ร่วมกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้บริหารภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ที่ครอบคลุมกับทุกประเทศรวมทั้งไทย ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ที่ศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน

วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์
ปลัดกระทรวงพาณิชย์

ต้องการสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศต่อการกำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมของไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐ เพื่อลดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ ผ่านการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐในมิติต่างๆ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศใช้มาตรการทางภาษีต่อประเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐ และกระตุ้นการลงทุนในประเทศ รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมการรับมืออย่างเป็นระบบ โดยนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้นทันที เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม ทั้งนี้ คณะทำงาน ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และมีประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์) และที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายศุภวุฒิ สายเชื้อ) ทำหน้าที่ที่ปรึกษาคณะทำงานที่ผ่านมา

คณะทำงานได้หารือกันอย่างใกล้ชิดพร้อมหารือกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย และหาแนวทางเจรจากับสหรัฐ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวางแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ผ่านมาตรการทางการเงิน อาทิ การให้เงินชดเชยดอกเบี้ยสำหรับเงินทุนหมุนเวียน

ADVERTISMENT

จากการติดตามสถานการณ์พบว่า หลายประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ ได้ยื่นข้อเสนอการเจรจา รวมมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ สหรัฐยังมิได้ให้การตอบรับ และทุกประเทศทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้เข้ารัฐเป็นสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการขาดดุลการค้าที่มีสูงมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในแต่ละปี ซึ่งคณะทำงานมีความพร้อมในการหารือกับสหรัฐ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นแนวทางที่สมดุลและเป็นธรรม เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเกษตรกรไทยตลอดจนรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น คาดว่ามาตรการภาษีของสหรัฐจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากการประกาศ Reciprocal Tariff ในวันที่ 2 เมษายน 2568 (ตามเวลาสหรัฐ) คณะทำงานขอให้ความมั่นใจกับประชาชนและภาคธุรกิจ ว่ารัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มของสหรัฐ บนพื้นฐานการรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐ และปกป้องรักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างดีที่สุด

สำหรับคณะทำงานได้เตรียมประชุมและทำแผนการเจรจาเชิงรุกร่วมกับรัฐกับภาคเอกชนไว้แล้ว ที่ผ่านมาสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการด้านภาษี 4 รูป ประกอบด้วย 1.มาตรการขึ้นภาษีรายประเทศ 2.มาตรการขึ้นภาษีเป็นรายสินค้า 3.ขึ้นภาษีกับกลุ่มประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านยาเสพติด การอพยพเข้าเมือง และ 4.ขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ

ADVERTISMENT

การขึ้นภาษีของสหรัฐส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและไทย เนื่องจากสหรัฐมีสัดส่วนการค้าการโลก 20% และเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยแต่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยจากการขึ้นภาษีในรอบแรก ไทยได้รับผลกระทบแล้ว คือ สินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 12 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเหล็กขึ้นจากภาษี 0-12.5% เป็น 25% อะลูมิเนียมจาก 0-6.25% เป็น 25% ซึ่งไทยได้รับผลกระทบ แต่มีการเก็บภาษีคู่แข่งในทุกประเทศ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากนัก เพราะยังส่งได้ตามปกติแต่ชะลอลง เนื่องจากเป็นสินค้าสหรัฐจำเป็นต้องนำเข้าส่วนกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ จะถูกขึ้นภาษีตามมา จากเดิม 0-4.9% เป็น 25% มีผลวันที่ 3 เมษายน 2568

อย่างไรก็ตาม คาดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นภาษีไทยเพิ่มอีก 3 รายการ ประกอบด้วย สินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อาจปรับภาษีนำเข้าเป็น 25% ผลิตภัณฑ์ยา และไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า ไทยยังมีแนวโน้มจะถูกเก็บภาษีตอบโต้โดยสหรัฐ อาจปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าให้เท่าที่ไทยเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอีกด้วย

ปัจจุบัน พบว่าไทยเก็บภาษีสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรม สูงกว่าสหรัฐราว 11% หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีให้เท่าไทย เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลการค้า คาดว่าทำให้ไทยเสียหาย 7-8 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น ข้าว กุ้งแปรรูป ยางล้อรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ทั้งนี้ แนวทางการเจรจาที่ผ่านมาได้เข้าพบสภาคองเกรส เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแล้ว และสหรัฐยังเปิดรับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ลงทุน ผู้นำเข้าจากทุกประเทศ ไทยก็ได้ส่งข้อมูลชี้แจงไปแล้ว

ทั้งนี้ไทยอาจจะใช้แนวทางในการปรับลดภาษีนำเข้าและเพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าให้สหรัฐ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ เศษเนื้อและเครื่องใน สุรา และเครื่องบิน ในส่วนนี้อาจประสานให้บริษัทการบินไทยเช่าหรือซื้อเครื่องบินจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้น ส่วนในเรื่องของพลังงานพิจารณาให้ ปตท.นำเข้าน้ำมันดิบ ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว เพิ่มขึ้น

ส่วนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐคงไม่สามารถลดการขาดดุลการค้ากับไทยสูงถึง 3-4 หมื่นล้านเหรียญได้ทั้งหมด ดังนั้น ไทยต้องเจรจาให้ครอบคลุมทุกมิตินอกเหนือจากการค้า ต้องมองเรื่องของการเข้าไปลงทุนเพิ่มในสหรัฐตามข้อเสนอของสหรัฐ ต้องการให้เกิดการจ้างงานในประเทศด้วย ปัจจุบันไทยมีการลงทุนในสหรัฐ 70 บริษัท ใน 20 มลรัฐ ทำให้เกิดการจ้างงาน 1.1 หมื่นตำแหน่ง เบื้องต้นรัฐคุยกับภาคเอกชนไทย พบว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอาหาร และพลังงานของไทย พร้อมเข้าไปลงทุนในสหรัฐ

สหรัฐมีข้อกังวลเรื่องการย้ายฐานการผลิตบางประเทศมายังไทย ทำให้เกิดการสวมสิทธิสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐ ขณะนี้สั่งให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งแก้ปัญหา ด้วยการขึ้นบัญชีสินค้าที่เสี่ยงสวมสิทธิประเทศไทยแล้ว 49 รายการ โดยเฉพาะเหล็ก ผลิตภัณฑ์จากจีน

ขณะนี้คณะทำงานได้เตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว โดยระยะสั้นเร่งการเยียวยาเร่งด่วน ทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยมาตรการ ลดดอกเบี้ย เข้าแหล่งเงินทุนมากขึ้น ส่วนระยะยาวเร่งเจรจาเอฟทีเอกับตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายการค้าการลงทุน เพื่อชดเชยผลกระทบจากกรณีถูกสหรัฐตอบโต้ทางการค้า ซึ่วแนวทางการเตรียมรับมือและการเจรจานี้คณะทำงานคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติด้วยความรอบคอบและความเสียหายกับประเทศให้น้อยที่สุด โดยการเจรจายึดหลักการเน้นผลประโยชน์ร่วมกัน 2 ฝ่าย เพื่อสร้างสมดุลทั้ง 2 ประเทศ โดยแผนเจรจาให้เสนอให้นายกฯทั้งหมดแล้วซึ่งสุดท้ายนายกฯจะเป็นคนตัดสินใจ

พจน์ อร่ามวัฒนานนท์
ประธานกรรมการหอการค้าไทย

หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนโยบายมีความชัดเจนเรื่องของการขึ้นภาษีกับประเทศที่ได้หนุนการค้ากับสหรัฐ รวมถึงเรื่องดึงการลงทุนเข้าไปในสหรัฐ หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะหมวดสินค้าเกษตรและอาหารพบว่าไทยเกินดุลสหรัฐ 142,654 ล้านบาท โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเกษตรอาหารอันดับที่ 11 ของโลกและไทยยังไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

อย่างไรก็ตาม ไทยเองควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควต้าภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรมและสมดุล (Fair and Balance Postion) ในการเจรจากับสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐ คือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐ จะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง ทั้งนี้ หอการค้ามีความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐ กับทั่วโลก อาจทำให้มีสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย สร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยและผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

หอการค้าไทย เสนอให้รัฐบาลไทยพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่างๆ ที่จะไม่กระทบต่อคู่ค้าและเกษตรกรภายในประเทศ

1.พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง) ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน อาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและหมอกควัน การเปิดโควต้านำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ (โค สุกร ไก่) ไทยมีต้นทุนวัตถุดิบที่ดีและถูกลง ช่วยให้การส่งออกเนื้อสัตว์ไปต่างประเทศดีขึ้น รวมทั้งจะช่วยผู้บริโภคในประเทศในประเภทเนื้อสัตว์ด้วย

2.สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐ ไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ 3.สินค้าประเภทสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Whisky & Wine) และ 4.เครื่องในสัตว์ เพื่อนำมาผลิตและแปรรูปในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ทำเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมเพื่อส่งออก หอการค้าฯมองว่านโยบายภาษีของสหรัฐจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ปัจจุบันประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ได้ร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคกันแล้ว อีกทั้งสหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับแคนาดาในการเปิดตลาดกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วยเช่นกัน

ดังนั้น หอการค้าฯ เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่รัฐบาลของไทยจำเป็นต้องเร่งเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี FTA โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ไทย-ยุโรป FTA อาเซียน-แคนาดา รวมถึงการปรับปรุงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้สำเร็จภายในปี 2568 นี้ให้ได้ จะทำให้จีดีพีของไทยเติบโตขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 1% รวมทั้งการส่งออกจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 10%

ในภาคเอกชน จับตามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กระทบส่งออกไทย โดยไทยถือเป็นประเทศเป้าหมายหนึ่ง เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีศุลกากรและการเกินดุลกับสหรัฐ อยู่ในระดับสูง ธุรกิจอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ของไทย อาจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ในสัดส่วนสูง นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า

เศรษฐกิจไทยเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้จีดีพีปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาด จากกรอบประมาณการเดิมอยู่ในช่วง 2.4-2.9% ได้คำนึงถึงผลกระทบบางส่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนถึงขนาดและขอบเขตของมาตรการภาษีของสหรัฐ ที่จะประกาศในคืนวันนี้ อาจจะกระทบต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอีกราว 0.2-0.6%

เกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เป้าหมายของทรัมป์ในการขึ้นภาษีเพื่อต้องการดึงการลงทุนและการจ้างงานกลับคืน ปีที่ผ่านมาไทยมีรายได้เกินดุลสหรัฐเพิ่มขึ้นจนมาอยู่ที่อันดับ 11 ของโลก โดยคาดว่าอุตสาหกรรมที่เกินดุลมากก็จะได้รับผลกระทบ เช่น เหล็ก และอะลูมิเนียมที่โดนขึ้นภาษีไปก่อนแล้ว ซึ่งไทยเราส่งออกไป
สหรัฐค่อนข้างมากถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นอกจากนี้จะมีการขึ้นภาษีแบบเจาะจง ซึ่งจะทำให้กลุ่มยานยนต์ และชิ้นส่วนรับผลกระทบเพิ่มอีก โดยภาคเอกชนก็ต้องเตรียมแผนรับมือ รวมถึงต้องเตรียมข้อมูลชี้แจงด้วยว่าการเกินดุลบางส่วนก็มาจากการที่สหรัฐเข้ามาลงทุนในไทย และส่งออกกลับไปสหรัฐ เช่น อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ ขณะเดียวกันสหรัฐก็ยังเกินดุลไทยหลายส่วน โดยเฉพาะธุรกิจบริการออนไลน์ ดาต้าเซอร์วิส รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา

สิ่งที่ ส.อ.ท.เป็นห่วง คือ เรื่องการที่สินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนเข้ามาสวมสิทธิสินค้าไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ ประเด็นนี้สหรัฐจับตาค่อนข้างมาก อีกทั้งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเพิ่มมากขึ้นเยอะส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเร่งนำเข้าก่อนใช้มาตรการภาษี แต่สิ่งที่สวนทางคือดัชนีการผลิตในประเทศที่ลดลง และสอดคล้องตัวเลขนำเข้าจากจีนก็เพิ่มขึ้น เป็นไปได้ว่า
อาจนำสินค้าจีนเข้ามาเพื่อใช้สิทธิส่งออก หรืออาจนำวัตถุดิบมาผลิต แต่ใช้วัตถุดิบในประเทศเพียง 10-20% แต่ใช้วัตถุดิบจากจีนถึง 70-80%

ตัวเลขที่น่าสนใจการนำเข้าจากจีนยังเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะเดือน ม.ค.2568 เพิ่มถึง 20% โดยเฉพาะเหล็ก ยางรถยนต์ ดังนั้น ส.อ.ท.จึงร่วมกับสมาชิกตั้งทีมติดตามดูอย่างใกล้ชิด พร้อมกับตั้งแพลตฟอร์ม FTI EYE ขึ้นมาเพื่อรับแจ้งข้อมูลเข้ามาหากพบเจอพฤติกรรมดังกล่าว และเร่งนำมาแก้ไขให้ทันท่วงที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image