‘ไชยชนก’ ค้าน ‘คอมเพล็กซ์’ รอยร้าว ‘เพื่อไทย-ภูมิใจไทย’?

‘ไชยชนก’ค้าน‘คอมเพล็กซ์’
รอยร้าว‘เพื่อไทย-ภูมิใจไทย’?

หมายเหตุนักวิชาการประเมินสถานการณ์การเมืองกรณี นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 เมษายน ไม่สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรีหรือการยุบสภาหรือไม่ แม้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท.ได้ออกมาชี้แจงว่าเป็นความเห็นส่วนตัว พร้อมได้ไลน์ขอโทษนายกรัฐมนตรีแล้ว

ผศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

กรณีนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) คัดค้านร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มองว่าไม่ได้เป็นความไร้เดียงสา แต่เป็นการแสดงนัยยะทางการเมืองผ่านพ่อในเวทีสภา ดูปรากฏการณ์ของนายไชยชนก เหมือนดูต้นไม้ต้นเดียว ไม่เข้าใจป่าทั้งป่า จึงต้องเห็นพลวัตของพรรค ภท.ในฐานะพรรคร่วมด้วยว่าพรรค ภท.มีอำนาจการต่อรองสูง และไม่ได้เป็นเบี้ยล่างเหมือนกับพรรคการเมืองอื่นๆ

ADVERTISMENT

ประการต่อมาพรรค ภท.ได้มีการประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า คือพรรคตัวแทนของฝ่ายอนุรักษนิยม และต้องการพึ่งพาคะแนนเสียงจากฝ่ายอนุรักษ์ที่ไม่มีพรรคการเมืองใดอยู่ในมือขณะนี้ พรรค ภท.จึงเป็นตัวเลือกสำคัญของฝ่ายอนุรักษนิยม นี่คือโครงสร้างหลัก จึงต้องดูพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ต้องต่อรองอำนาจจนถึงตาจน หลังจากนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. มานั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นโครงสร้างใหญ่ เมื่อมาดูที่นายไชยชนก ก่อนจะมาพูดนั้น จะเห็นว่ามีนายเนวิน ชิดชอบ
ครูใหญ่พรรค ภท. ออกมาพูด รวมทั้งนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ทั้ง 3 คนออกมาพูดนั้นถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลภายในพรรค การที่นายไชยชนกออกมาพูดอีก แสดงว่ามีจุดยืนอะไรบางอย่างเพื่อรักษาแนวร่วมฝ่ายมวลชนอนุรักษนิยม ขณะเดียวกันนายอนุทินได้ออกมาแก้เกมว่ายังมีเอกภาพ และเป็นเรื่องขัดข้องทางเทคนิค แต่ผมมองว่าเป็นการเดินคู่ขนานมากกว่า เพื่อให้ดุลอำนาจของพรรค ภท.ในปีกอนุรักษนิยมมีกำลังและมีแรงสนับสนุนมากยิ่งขึ้น ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไปไม่ไหว แต่ในเกมการเมืองพรรค ภท.ยังมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงกับรัฐบาล

ผมกล่าวเสมอว่าพรรครัฐบาลไม่ชอบพรรค ภท. แต่ทิ้งพรรค ภท.ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรค ภท.ก็ต้องพยายามขี่คอพรรค พท.ไว้ตลอด ต้องยอมรับว่ารัฐบาลจะต้องอยู่กันแบบนี้ ถึงแม้จะมีความขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้งก็ตาม แต่ทำอะไรกันไม่ได้ เพราะแต่ละพรรคการเมืองมีความจำเป็น โดยเฉพาะพรรค พท.จะเป็นรัฐบาลได้ต้องพึ่งพาพรรค ภท. แต่พรรค พท.คงต้องส่งคนไปแซะพรรค ภท.อยู่เป็นระยะๆ

ADVERTISMENT

และเป็นการวัดกำลังของพรรค พท.กับพรรค ภท.จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะยุบสภาหรือหมดวาระของรัฐบาล เพราะมีเงื่อนปมหลายอย่างที่ไม่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของฝั่งนายเนวิน ที่รัฐบาลไม่ต่อสัญญา MotoGP รวมทั้งเขากระโดง และฮั้ว ส.ว. ซึ่งเรื่องฮั้ว ส.ว.น่าสนใจ มองได้จากการที่นายเนวิน นายสมศักดิ์ ออกมาเคลื่อนไหวอาจเกี่ยวข้องกับฮั้ว ส.ว. ส่วนที่เกิดผลกระทบต่อนโยบายของพรรค ภท.ที่จะเสนอต่อรัฐบาล มองว่าพรรค ภท.คงไม่ขับเคลื่อนนโยบายของพรรค เพราะเสนอไปแล้วอาจไม่ได้รับความร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย จึงต้องอยู่แบบ ภูมิใจขวาง แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งสะสมคะแนน ขยายฐานอำนาจไปด้วย เพราะเสนอนโยบายอะไรเข้าไป เชื่อว่าพรรค พท.คงไม่ให้ผ่านง่ายๆ เช่นกัน

ส่วนการปรับ ครม.หรือไม่นั้น มองว่าควรเป็นฝั่งของพรรค พท.เท่านั้น และพรรคเล็กพรรคน้อยที่ไม่มีอำนาจในการต่อรอง คงไม่สามารถไปแตะพรรค ภท.ได้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะมีการยุบสภา ดูไปแล้วมีโอกาสเหมือนกัน หากรัฐบาลมีผลงานบ้าง มีคะแนนนิยม อาจชิงความได้เปรียบในการยุบสภา พร้อมกับการตัดสิทธิ ส.ส.พรรคประชาชน 44 คน ซึ่งเป็นเทคนิคทางการเมือง หรือมีความขัดแย้งทางการเมืองจนไม่สามารถประนีประนอมกันได้ แต่มองไปแล้วไม่มีพรรคการเมืองไหนพร้อมลงสนามเลือกตั้ง แต่พรรคที่ดีที่สุดพร้อมที่จะเลือกตั้ง คือพรรค ภท. แต่พรรค พท.ไม่พร้อมแน่ เพราะยังไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายเด่นๆ ที่ให้ไว้กับประชาชนได้ และยังถูกครหาว่าไม่ทำตามสัญญาตามที่แถลงและหาเสียงเอาไว้ เป็นการโกหกประชาชนเพื่อหวังคะแนนเสียง

ส่วนคำกล่าวที่ว่าจบก็คือจบ คงเป็นที่เข้าใจกันว่าพรรค ภท.นั้นเล่นเกม 2 หน้า คือจบในสิ่งที่นายไชยชนกพูด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลคงต้องใช้มติของพรรคร่วมที่จะต้องขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ต่อไป แต่คงไม่ง่ายอย่างที่คิด และอาจจะจบเพราะรัฐบาลชุุดนี้ไปต่อไม่ได้

หากเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และผ่านไปได้ เชื่อว่าพรรค ภท.จะเสียคะแนนไปเยอะจากฝ่ายอนุรักษนิยม นอกจากนี้ประชาชนอาจหันมาเลือกพรรคประชาชน (ปชน.) มากยิ่งขึ้น หากผ่านไปได้ก็ต้องไปเจอด่าน ส.ว.ไม่ให้ผ่าน อาจจะมีการยื้อเวลาออกไปอีก 180 วัน ต้องมาตั้งกรรมาธิการร่วมอีก แต่ที่กลัวที่สุดคืออาจมีคนไปร้องในเรื่องขัดจริยธรรมร้ายแรง เพราะนักกฎหมายอาจมองว่าไปขัดกับรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีของประชาชน จุดนี้คือจุดที่น่ากลัวที่สุด

สุดเขต สกุลทอง
อาจารย์และนักวิจัย วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

กรณีนายไชยชนกประกาศกลางสภาไม่เห็นด้วยกับกฎหมายกาสิโน ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยผลักดัน ถือเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล คือพรรค พท.และพรรค ภท.ที่เป็นพรรคอันดับ 2 มี ส.ส.อยู่ 70 เสียง ซึ่งนายไชยชนกเป็นลูกชายคนโตของนายเนวิน จึงย่อมได้รับสัญญาณอะไรบางอย่างจากบ้านใหญ่ที่เป็นเจ้าของพรรค ภท. ส่วนนายอนุทินจะเป็นพรรคขนาดกลาง แต่ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล พรรค ภท.ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ ม.112 สุดท้ายพรรค พท.จึงได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน และพรรค ภท.เข้าร่วมเป็นรัฐบาล โดยนายอนุทินหัวหน้าพรรคนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ขณะที่บ่อนกาสิโน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่พรรค พท.พยายามผลักดัน ซึ่งนายอนุทินแสดงท่าที่เห็นด้วยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่นายไชยชนกกลับแสดงท่าที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ประเด็นนี้มองได้ 2 ด้าน คือ พรรค ภท.อยากเป็นขวัญใจประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายกาสิโน และมีกลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านจำนวนมากจนกลายเป็นวิกฤตที่รัฐบาลไม่อาจมองข้าม พรรค ภท.จึงต้องแสดงท่าทีบางอย่างออกมาในฐานะว่าที่แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นในอนาคต พรรค ภท.จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีแกะดำโผล่ขึ้นมา เพื่อแสดงออกให้สังคมเห็นว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งในพรรคไม่เอากาสิโน แม้หัวหน้าพรรคจะสนับสนุนกฎหมายกาสิโนเพราะต้องเห็นด้วยตามพรรคร่วมที่เป็นแกนนำรัฐบาล ถือเป็นลูกเล่นและเทคนิคทางการเมือง

หากเจาะลึกลงไป พรรค ภท.เป็นพรรคที่มีคน 2 เจนร่วมกันอยู่ คือคนรุ่นใหม่ที่ไม่เอากาสิโน และคนรุ่นเก่าที่เป็นผู้นำพรรคเอากาสิโน เพราะต้องเห็นชอบตามรัฐบาลเนื่องจากนั่งเก้าอี้รองนายกฯอยู่ ในทรรศนะมองว่า พรรค ภท.เดินเกมฉลาด ได้แต้มนำพรรค พท. ในขณะที่พรรค พท.ไม่ได้ถอนญัตติเรื่องกาสิโนออกไป แต่จัดลำดับความสำคัญดึงญัตติเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว และวิกฤตการประกาศขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขึ้นมาพิจารณาก่อน เหตุที่รัฐบาลพรรค พท.ยังไม่ถอนญัตติเรื่องกาสิโนออกไปแต่ชะลอไปก่อน เพราะประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจจึงจำเป็นต้องจัดหาแหล่งสร้างเม็ดเงิน เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้มาใช้จ่าย เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จึงเป็นหนึ่งความหวังของรัฐบาล เพราะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่สามารถดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าประเทศได้มหาศาล หากมองในทางเศรษฐศาสตร์ การมีเอ็นเตอร์เทนเมนต์
คอมเพล็กซ์และกาสิโนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนได้มาก แต่ในทางสังคมถือเป็นความเสื่อม เพราะสิ่งที่ตามมาคือการเข้ามาของกลุ่มทุนธุรกิจสีเทา และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กรณีนี้มีผลกระทบกับพรรค ภท.โดยตรงแน่นอน หากมีการปรับ ครม.หรือแม้แต่การผลักดันนโยบายต่างๆ ของพรรค ภท. ก็อาจไม่ได้รับความเห็นชอบจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นกับพรรค พท.ในฐานะแกนนำรัฐบาลจากศึกอภิปรายที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และต่อเนื่องถึงเรื่องกฎหมายกาสิโน ทำให้ปีกหนึ่งของพรรค ภท.ที่เป็นคนรุ่นใหม่ออกมาเดินเกมไม่เอากฎหมายกาสิโน เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและดึงคะแนนนิยมจากประชาชน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 ซึ่งก็ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนพอสมควรว่ากล้าแสดงออก

ผศ.นพพร ขุนค้า
อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

กรณี นายไชยชนกพูดในสภาว่าไม่เห็นด้วยกับกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มองได้ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเป็นเพียงแค่พลั้งปากออกมา ในฐานะที่นายไชยชนกเป็นเลขาธิการพรรคและยังเป็นบุตรชายของนายเนวิน การพูดในสภาที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้มีบารมีหรือครูใหญ่ในพรรค ภท.ไม่เอาด้วยกับนโยบายนี้ และการที่หัวหน้าพรรคอย่างนายอนุทิน ออกมาบอกว่าผิดคิวไปหน่อย ก็มองว่าทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรค พท.กับพรรค ภท. นายอนุทินจะออกมาพูดว่าไม่มีอะไรในทุกครั้ง แต่ในความไม่มีอะไรนั้น มองว่ายังมีอะไรอีกแน่นอน

รวมถึงประเด็นที่นายไชยชนกลุกขึ้นเอ่ยชื่อพ่อแม่กลางสภา และยังบอกว่าไม่เห็นด้วยนั้น ไม่ได้เป็นความบังเอิญแต่อย่างใดด้วยเช่นกัน จึงเชื่อได้ว่าภายในพรรครู้กันดีอยู่แล้ว แต่เป็นการส่งสัญญาณออกมาผ่านทายาทของผู้มีบารมีภายในพรรคอย่างที่ไม่มีความบังเอิญ เราเห็นกันอยู่แล้วว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะ 2 พรรคนี้อยู่กันแบบเป็นเส้นขนานที่ต้องอยู่ด้วยกัน จึงมองได้ว่าในตัวของลูกพรรค ภท.ทราบอยู่แล้ว อีกทั้งพรรค ภท.ยังเป็นพรรคที่มีเอกภาพมาก ขณะที่การจัดการพรรคนั้นรู้กันอยู่แล้วว่าใครมีบทบาท มีอำนาจตัวจริงในพรรค ถ้าเป็นมวยก็ต้องบอกกันได้ว่าน้ำเลี้ยงดี ฉะนั้นแล้วพรรค ภท.ถือเป็นพรรคที่มีเอกภาพสูง และยังมีเอกภาพมากกว่าพรรค พท.ด้วยซ้ำ หากพูดกันแบบตรงไปตรงมา จึงมองว่าลูกพรรค ภท.ทราบกันดีแต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาพูดเท่านั้น

ส่วนผลกระทบในการอยู่ร่วมกันในรัฐบาลนั้น ย่อมมีต่อด้านจิตใจ แต่ใครจะว่าอย่างไรก็ตามพรรค พท.ยังคงไม่กล้าปรับพรรค ภท.ออก เพราะเป็นพรรคลำดับที่ 2 ของพรรคร่วม มีเสียง ส.ส.มากเป็นลำดับที่ 2 พรรคที่จะมาทดแทนนั้นเสียงยังมีไม่มากเท่าพรรคภูมิใจไทย ประการสำคัญ ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่า วุฒิสภามีแนวโน้มการทำงานที่เห็นพ้องไปตามทิศทางเดียวกับพรรค ภท.เป็นส่วนมาก จนถูกคอการเมืองขนานนามกันไปแล้วว่าเป็น ส.ว.สีน้ำเงิน ถึงจะมีความขัดแย้งกันอยู่ภายในใจแบบไม่ได้รักกัน แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป แม้มีผลต่อ ครม.ทางด้านจิตใจ แต่ด้านกฎหมายเชื่อว่า วันนี้พรรค พท.ใจไม่ถึง ไม่กล้าปรับพรรค ภท.ออกแน่นอน แต่จะมีผลต่อการดำเนินนโยบายของพรรค ภท. เช่น เรื่องกัญชา เพื่อไทยก็ยังจ้องกันอยู่ รวมถึงนโยบายธงนำของพรรค ภท.อาจไม่ราบรื่น แม้ไม่ถึงขั้นหักดิบกัน เพราะถึงอย่างไรพรรค พท.ก็ยังต้องรักษามิตรตรงนี้ไว้

ส่วนในอนาคตหากมีการปรับ ครม. ก็อาจมีการขอแลกกระทรวงกัน โดยเฉพาะกระทรวงที่มีผลต่อฐานคะแนนเสียง เช่น กระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงศึกษาธิการ ที่พรรค พท.อาจนำกลับมาทำเอง เนื่องจาก 2 กระทรวงนี้มีบุคลากรมาก ส่วนการจะปรับออกยังคงไม่มี พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเป็นพรรคเดิมต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image