ส่อง‘เมืองคอนโมเดล’ ‘กล้าธรรม’เจาะส.ส.ใต้

ส่อง‘เมืองคอนโมเดล’
‘กล้าธรรม’เจาะส.ส.ใต้

หมายเหตุนักวิชาการวิเคราะห์สนามการเมืองภาคใต้โดยสะท้อนภาพจากชัยชนะของนายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ผู้สมัครจากพรรคกล้าธรรม ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 8 จ.นครศรีธรรมราช ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 8 นครศรีธรรมราช พิจารณาได้หลายมิติ หากพิจารณาในอดีตถือว่าเป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นประจักษ์พยานว่า ภาคใต้จะไม่ใช่พื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไปแล้ว โดยเห็นจากพรรคการเมืองต่างๆ สามารถลงหลักปักฐานในพื้นที่ภาคใต้ได้ทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชาติ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย จนถึงพรรคกล้าธรรม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถยึดครองพื้นที่ได้ แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมาก หากดูจากการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ปรากฏว่าผู้บริหารพรรคในปัจจุบัน อาจจะโดนใบสั่งมาจากฝ่ายรัฐบาล ไม่ให้ลงมาช่วยนายชินวรณ์ เท่ากับว่าปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์มีความขัดแย้งภายในสูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสของพรรคกล้าธรรม

ด้านพรรคเพื่อไทยเห็นว่า ภาคใต้สร้าง ส.ส.ยาก เพราะภาพลักษณ์ของพรรค ต้นทุนของพรรค รวมทั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนภาคใต้ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถยึดครองพื้นที่ได้ จึงพยายามหาพรรคการเมืองอื่นเข้าไปยึดพื้นที่ภาคใต้ และเห็นว่าพรรคที่สมควรมากที่สุดที่จะยึดพื้นที่ภาคใต้คือ พรรคกล้าธรรม โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ที่มีบทบาทภายในพรรคมากที่สุด

ADVERTISMENT

หลายคนอาจจะมองว่า ร.อ.ธรรมนัสลงพื้นที่ประมาณ 20 วัน แต่ในความเป็นจริงได้มีการลงพื้นที่มาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐที่มี ส.ส.ในภาคใต้ ส่วนหนึ่งมาจากกำลังภายในของ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งมีการมองแล้วว่าหากจะสู้กับพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องไปหาผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส.อบจ. คนที่มีบุคลิกทางการเมืองที่ใจถึงพึ่งได้ เหมือนกับ ร.อ.ธรรมนัส คนเหล่านี้ยังเป็นที่รักของชาวบ้าน โดยพยายามหาจุดต่างกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคนของพรรคภูมิใจไทยส่วนใหญ่เป็นคนระดับบนของจังหวัด ยังห่างเหินกับประชาชน แต่ ร.อ.ธรรมนัสเลือกระดับคนที่เข้าถึงประชาชน
ที่ประชาชนรักและไว้วางใจ มีพื้นที่เป็นของตัวเอง มีคนรัก มีคนมาขอความช่วยเหลือเป็นระยะๆ ร.อ.ธรรมนัสจึงมาหาคนกลุ่มแบบนี้ ซึ่งจะมีทรัพยากรมาก ร.อ.ธรรมนัสจึงเห็นโอกาสพรรคกล้าธรรม จะต้องหาคนที่มีบุคลิกทางการเมืองคล้ายตัวเอง แล้วสนับสนุนงบประมาณเข้าไป โอกาสที่พรรคกล้าธรรมจะสามารถครองพื้นที่ภาคใต้ก็มีสูง

ขณะนี้การบริหารงานของรัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ ระบบราชการไม่สามารถดูแลประชาชนได้ ประชาชนยังมีแต่ความยากจน และยังประสบปัญหาเกี่ยวกับราคาพืชผลทางการเกษตร ทำให้คนเหล่านี้ต้องไปพึ่งนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อประคับประคองชีวิต หากนักการเมืองท้องถิ่นคนนั้นมีทรัพยากร มีงบประมาณ ทำให้ประชาชนต้องเลือกคนเหล่านี้ มากกว่าคนที่พรรคการเมืองที่ขายนโยบาย ขายความฝันที่เป็จริงไม่ได้

ส่วนการที่พรรคกล้าธรรมจะขยายเครือข่ายลงพื้นที่ภาคใต้ ผมประเมินแล้วว่า การได้รับชัยชนะครั้งนี้ได้เห็นโอกาส ช่องว่างที่จะขยายเครือข่าย เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยพยายามยึดครองพื้นที่ภาคใต้ แต่จุดเสียคือพรรคภูมิใจไทยจะไปหากลุ่มคนระดับบนของจังหวัด ซึ่งไม่ค่อยเข้าถึงชาวบ้าน จะพบกับชาวบ้านต่อเมื่อมีงานใหญ่ๆ แต่ ร.อ.ธรรมนัสจะไปหาคนระดับกลาง คลุกคลีช่วยเหลือชาวบ้าน จากข้อมูลที่ทราบมา ร.อ.ธรรมนัสจะเรียกผู้สมัครนายก อบจ.ที่แพ้การเลือกตั้งหลายๆ จังหวัดไปพูดคุยแล้ว รวมทั้ง ส.อบจ.ที่มีคะแนนนิยม เครือข่ายกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีฐานมวลชน ร.อ.ธรรมนัสจัดการหมดแล้ว จึงอยู่ที่การตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับ ร.อ.ธรรมนัสหรือไม่

การที่จะให้นักการเมืองท้องถิ่นทั้งเทศบาล หรือ อบต.มาสนับสนุนพรรคกล้าธรรมนั้น คิดว่าน่าจะเป็นเครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัส เนื่องจากท้องถิ่นมีการผูกพันกันมากกว่า ส่งผลให้ทั้งผู้สมัครนายกเทศมนตรี หรือนายก อบต.ไม่สามารถเลือกข้างได้เหมือนกับ ส.ส. หากให้มองการเลือกตั้ง ส.ส.ปี’70 พรรคกล้าธรรมจะเลือกเอาพื้นที่ภาคใต้ตอนบน และภาคใต้ตอนกลาง เพราะภาคใต้ตอนล่างเป็นของพรรคประชาชาติไปแล้ว นอกจากนี้ ยังเห็นว่านายทักษิณได้มีการประเมินแล้วว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถครอบครองพื้นที่ภาคใต้ได้ รวมทั้งพรรคการเมืองอื่นๆ ยังสามารถไปลงหลักปักฐานในพื้นที่ภาคใต้ได้ แต่พรรคเพื่อไทยภาพลักษณ์ยังขายไม่ได้ รวมทั้งนายทักษิณด้วย จึงต้องหาบุคลิกภาพทางการเมืองของคนภาคใต้นิยม โดยเฉพาะภาพของ ร.อ.ธรรมนัสนั้นเข้าตาคนภาคใต้ ประกอบกับระบบข้าราชการไร้ประสิทธิภาพ กกต.ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้ตรงไปตรงมา ทำให้กลุ่มการเมืองแบบนี้สามารถยึดครองพื้นที่ได้เหมือนกัน

การเลือกตั้งครั้งหน้าจะทำให้ ร.อ.ธรรมนัสเป็นคีย์แมนผู้จัดการรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยสมัยหน้า ผมประเมินว่านายทักษิณคงไว้ใจ ร.อ.ธรรมนัสมากกว่าแกนนำของพรรคเพื่อไทยหลายๆ คน ไม่มีความสามารถจริงหากเปรียบเทียบกับ ร.อ.ธรรมนัส แนวคิดว่าพรรคกล้าธรรมจะต้องโตขึ้น เพราะรัฐบาลสมัยหน้าจะต้องอาศัยความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย แต่ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่หากมีพรรคกล้าธรรมเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทย จะมีอำนาจในการต่อรองและถ่วงดุลกับพรรคภูมิใจไทย ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจการต่อรองสูงขึ้น เพราะพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถขยาย ส.ส.ได้ในอีกหลายพื้นที่ หากพรรคกล้าธรรมสามารถขยายพื้นที่ ส.ส.ในเขตพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยเข้าไม่ถึง แต่พื้นที่นั้นยังเปิดโอกาสให้พรรคกล้าธรรม โดยการนำของ ร.อ.ธรรมนัส ลงสมัครและประชาชนพร้อมเลือกตั้ง หากได้ ส.ส.จำนวนมาก พรรคเพื่อไทยจะมีพันธมิตรในการต่อรองกับพรรคภูมิใจไทย

ส่วนเส้นทางของพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นพรรคบ้านใหญ่ปกติ ผมเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมี ส.ส. แต่เป็น ส.ส.ที่อาศัยชายคาประชาธิปัตย์แค่นั้นเอง ไม่มีอุดมการณ์แบบประชาธิปัตย์ ไม่มีอุดมการณ์ต่อสู้กับนายทุนผูกขาด ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เป็นการรวบรวม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เพื่อไปแลกตำแหน่งรัฐมนตรี เปลี่ยนจากพรรคการเมืองหลัก กลายเป็นพรรคการเมืองที่ไปต่อรอง ในเรื่องผลประโยชน์ แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะไปต่อ
ผู้บริหารชุดนี้จะต้องถอยไปอยู่หลังบ้าน หาคนที่มีภาพลักษณ์ดีๆ มาขับเคลื่อนพรรคกันใหม่เพื่อไปต่อ แต่ดูไปแล้วคงไปยาก อย่างไรก็ตาม ท่าทีของผู้บริหารชุดนี้ยังยืนยันว่า ต้องการบริหารงาน และยังพาพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อไปได้

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ผมมองว่าเป็นพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ และเป็นพรรคเฉพาะกิจ อยู่ได้โดย ส.ส.บ้านใหญ่ หากจะไปต่อแกนนำของพรรคจะต้องหางบประมาณ หาทรัพยากรมาหล่อเลี้ยง เนื่องจากไม่มีอุดมการณ์และจุดยืน และการเข้ามาด้วยเงื่อนไขและอำนาจในขณะนั้น ตอนนี้บรรยากาศเป็นประชาธิปไตย แกนนำต้องหาทรัพยากร และต้องทำให้แกนนำบ้านใหญ่มีความรู้สึกว่าไม่ต้องการออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพราะที่นี่อุดมสมบูรณ์ ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติไปสนับสนุนกาสิโน ทำให้กลุ่มอนุรักษนิยมว่าเป็นอนุรักษนิยมเก๊ ถือว่าจบ ไปต่อยากทำให้ ส.ส.อาจจะไหลไปพรรคภูมิใจไทย

อนาคตของพรรคกล้าธรรม ผมมองว่าอาจจะโตขึ้นเบียดขึ้นพรรคอันดับ 3 โดยพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยจะเบียด 1-2 โดยมีการผลักดันให้พรรคกล้าธรรมเป็นอันดับ 3 เพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้ผนึกกำลังไว้ต่อรองกับพรรคร่วม การที่พรรคกล้าธรรมประกาศไม่ใช่นอมินีของพรรคเพื่อไทย ถ้ามองในทางการเมืองพรรคกล้าธรรมมีความจำเป็นมากต่อพรรคเพื่อไทยในการเป็นพันธมิตรเพราะพรรคเพื่อไทยมีฐานที่มั่นภาคเหนือ ภาคอีสานใต้ พื้นที่การเมืองภาคใต้เปิดแล้ว ทุกพรรคการเมืองสามารถสร้าง ส.ส.ให้กับพรรคของตนเองได้ ในการเลือกตั้งปี’70 หากพรรคกล้าธรรมสามารถมี ส.ส.ได้ 50-60 คน พรรคเพื่อไทยสามารถถ่วงดุลกับพรรคร่วมรัฐบาลได้

ตรีเนตร สาระพงษ์
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 8 นครศรีธรรมราช นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.หลายสมัยจากพรรคประชาธิปัตย์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มีฐานเสียงและชื่อเสียงในพื้นที่ ถือว่ามีนัยเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการพ่ายแพ้เชิงสถาบันของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นความเสื่อมถอยของพรรคประชาธิปัตย์ที่นิยามตนเองเป็นสถาบันทางการเมืองที่ครองพื้นที่อย่างยาวนานในฐานะเจ้าถิ่น การพ่ายแพ้ของบุคลากรอาวุโสในบ้านเกิดตัวเอง เป็นภาพขยายถึงความรู้สึกของคนปักษ์ใต้ว่าเกิดวิกฤตศรัทธาในระดับลึก และถือเป็นสัญญาณเตือนแรงว่านี่ไม่ใช่เป็นการแพ้เฉพาะกิจ หากแต่จะส่งผลกระทบไปในวงกว้าง เพราะการพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ผ่านคะแนนเสียงเพียง 4,190 คะแนน แพ้แบบทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นจากพรรคกล้าธรรมและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหากมองไปที่ปัจจัยก็มีหลายประการที่กัดกร่อนฐานเสียงของพรรค

การพ่ายแพ้ที่สะท้อนการลงโทษจากการเสียจุดยืนเชิงอุดมการณ์อันเป็นอัตลักษณ์ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งภาพเดิมคือพรรคที่มีจุดยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด แต่การเปลี่ยนท่าทีเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคที่ตนเคยวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นต้นตอ
ของปัญหาต่างๆ โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน หรือการโหวตในสภาหลายครั้งงดออกเสียง ซึ่งทำให้ภาพจุดยืนไม่ชัด และถูกตีความว่านี่คือการทรยศต่อหลักการ และคนปักษ์ใต้ เพื่อแลกกับอำนาจหรือตำแหน่ง แน่นอนว่าเมื่อพรรคใดไม่ยืนข้างประชาชน ประชาชนจะไม่ยืนข้างพรรค เป็นกฎเหล็กของประชาธิปไตยในบริบทอุปนิสัยคนปักษ์ใต้ที่ตรงไปตรงมา รักความเป็นธรรม ยึดหลักการ ถือเป็นคุณค่าหลักของคนปักษ์ใต้ คะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตล้วนแล้วแต่คือเสียงจากศรัทธา พรรคประชาธิปัตย์ควรรู้ว่าคนปักษ์ใต้ไม่ได้เปลี่ยนใจ แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่เปลี่ยนใจ เปลี่ยนอุดมการณ์

ขณะนี้ประชาชนปักษ์ใต้ไม่รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยืนอยู่จุดไหนในทางการเมือง ซึ่งหากมองย้อนเข้าไปในพรรคก็เกิดความสงสัยว่าจะวางตัวเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลอย่างถาวร พฤติการณ์จึงล้างภาพความเชื่อมั่นที่ว่าเป็นพรรคหลักการไปหมด ในขณะที่พรรคทางเลือกด้านอนุรักษนิยมอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย หรือแม้แต่อุดมการณ์เสรีอย่างพรรคประชาชน กลายเป็นตัวเลือกใหม่เชิงอุดมการณ์

การพ่ายแพ้เพราะสู้เครือข่ายการเมืองท้องถิ่นของพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ เช่น พัทลุง สตูล และการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้นอกจากวิกฤตศรัทธาแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องยอมรับว่าความเข้มแข็งของคู่แข่งที่อยู่กับพื้นที่มีเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่แม้จะมีเครือข่ายเก่าแก่ที่ยึดติดอยู่กับอดีต แต่เครือข่ายกลับไม่ถูกหล่อเลี้ยงและต่อยอด คิดว่าเป็นของตาย ความแน่นแฟ้นจึงคลี่คลายตัว และถูกคู่แข่งแทรกเข้ามา

ด้าน นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ผ่านปราการเหล็กคือความศรัทธา เข้ามาได้เพราะการสร้างเครือข่ายจากในพื้นที่ และปิดจุดอ่อนว่าเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทยได้ แน่นอนว่านี่เป็นจุดอ่อนเพราะเมื่อใดที่พรรคกล้าธรรมไม่สามารถสลัดเงาของนายทักษิณ ชินวัตร ออกไปได้ จุดนี้จะถูกคู่แข่งหยิบยกไปใช้เพื่อเซาะกร่อนพรรคกล้าธรรมในพื้นที่ภาคใต้แน่นอน ในฐานะขั้วการเมืองที่ยืนอยู่คนละฝั่งของอุดมการณ์กับคนปักษ์ใต้ คะแนนเสียงอาจสะวิงไปยังพรรคทางเลือกอื่นได้

ผลการเลือกตั้งในปี 2562 และปี 2566 แสดงอย่างชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์เสียที่นั่งจำนวนมากในภาคใต้ เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา และสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ผ่านโซเชียลมีเดีย ประกอบกับพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลเดิมที่แม้จะไม่ชนะ แต่คะแนนอยู่ลำดับ 2 หรือ 3 ในหลายเขต คนรุ่นใหม่วัย 18-35 ปีในภาคใต้มีอัตราการสนับสนุนพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลมากขึ้น โดยเฉพาะเขตเมือง เช่น หาดใหญ่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช

ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 8 นครศรีธรรมราช ถือว่ามีนัยเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นการพ่ายแพ้เชิงสถาบัน ความเป็นพรรคเก่าพรรคแก่ไม่ใช่หลักประกันอนาคต การเลือกตั้งครั้งนี้คือแรงกระเพื่อมจากการพ่ายแพ้แม้ในพื้นที่เล็กเพียงเขตเดียว แต่สามารถเขย่าการเมืองระดับชาติได้ แบบสวนความเชื่อแบบเดิมๆ ที่ว่าส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้รับเลือก การเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 หากยังมีภาพจำแบบเดิม พรรคประชาธิปัตย์อาจเหลือจำนวน ส.ส.ด้วยเลขตัวเดียว และกลายเป็นพรรคเล็ก โดยเฉพาะการเมืองฉบับของพรรคกล้าธรรมและพรรคภูมิใจไทยที่เริ่มการเปลี่ยนแปลงจากการเมืองสนามท้องถิ่นนอกเขตเมือง ซึ่งผู้สมัครจะมีเครือข่ายอยู่กับพื้นที่ เช่น นายก อบต. หรือเทศบาล หรือการเลือกตั้งระดับนี้จะได้รับการสนับสนุนกระสุนมาสร้างกระแส จากนั้นก็ผูกประสานสร้างเครือข่ายโยงใยการเมืองในท้องถิ่นไปเป็นฐานการเมืองระดับชาติ อาจเปลี่ยนสมการการเมืองให้การเลือกตั้งภาคใต้กลายเป็นพื้นที่ของพรรคใหม่ๆ

พื้นที่การเมืองในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 ภาคใต้จึงไม่ใช่พื้นที่ผูกขาดทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป แม้พรรคประชาธิปัตย์จะปรับเปลี่ยนพรรคแบบชั่วข้ามคืน ก็น่าจะสายเกินไป หากแต่กลายเป็นสนามแข่งขันทางการเมือง เสียงของพรรคประชาธิปัตย์จะเบาลง เสียงของคู่แข่งจะดังขึ้น นโยบายต่างๆ หรือการแข่งกันพัฒนาจะมีมากขึ้น