ถอดรหัสปรับครม.
โจทย์ใหญ่‘รบ.อิ๊งค์’
หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการวิเคราะห์การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยต้องการดึงกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทยกลับมา ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศไปเป็นฝ่ายค้านหากหลุดจากตำแหน่งดังกล่าว
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา
แนวโน้มการปรับ ครม.พรรคเพื่อไทย หากดูไปแล้วพรรคเพื่อไทยไม่เคยบอกประชาชนเลยว่าปรับ ครม.ตั้งอยู่บนเงื่อนไขไหน หากดูจากกระแสข่าว กระแสของนักการเมืองที่พูดกัน จะเห็นว่าปรับ ครม.เพื่อประโยชน์ของพรรคเพื่อไทยเอง การปรับ ครม.นั้นปรับได้เพราะเป็นรัฐบาลผสม ที่คนบริหารงานไปแล้วเกิดปัญหาไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ หรือแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ หากเอาหลักการเป็นตัวตั้ง จะเห็นว่ากระทรวงที่มีปัญหามากตอนนี้คือกระทรวงกลาโหม ที่รัฐมนตรีไร้ความสามารถ บริหารงานล้มเหลว อาทิ ปัญหาภาคใต้ ปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา หากตั้งบนหลักการ ทำไมไม่ปรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ ราคาพืชผลทางเกษตรตกต่ำ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายปี ประชาชน เกษตรกรเดือดร้อนทำไมไม่ปรับ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตอนนี้การท่องเที่ยวล้มระเนระนาดไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย ผู้ประกอบการได้รับผล กระทบ ทำไมไม่ปรับ
ซึ่ง 3 กระทรวงหลักที่ยกมานี้ แต่ไม่ข่าวการปรับ ครม.ของพรรคเพื่อไทย ทำให้มองได้ว่าการปรับ ครม.ของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติ เป็นปล่อยข่าวสร้างกระแสเพื่อจะปรับให้ตัวเองอยู่รอด พูดง่ายๆ พรรคเพื่อไทย บรรดา ส.ส. และรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยต้องการปรับ ครม.เอาประโยชน์เข้าตัวเองเท่านั้น โดยไม่สนใจประเทศชาติ ประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว หากเอาปัญหาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง อย่างน้อยจะต้องปรับรัฐมนตรี 3 กระทรวงที่กล่าวมา เพราะเห็นความล้มเหลวทางด้านการบริหารงาน โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมไม่เคยพูดถึงการปรับรัฐมนตรีเลย พรรคเพื่อไทยพูดแต่จะเอาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกลับมา
มุมมองของพรรคเพื่อไทยการปรับ ครม. และตั้งโจทย์เพื่อตัวเอง จึงมองว่ากระทรวงมหาดไทยเป้าหมายหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า จึงปล่อยข่าวเพื่อยึดกระทรวงมหาดไทย เพื่อวางแผนในการเลือกตั้ง ทำให้มองว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศชาติเลย คิดเพียงรักษาอำนาจของตัวเองเท่านั้น จึงพยายามเอากระทรวงมหาดไทยกลับมา
ทางด้านพรรคภูมิใจไทย ผมมองว่ากำลังต่อรองกันอยู่ เพราะเสถียรภาพของพรรคเพื่อไทยกำลังง่อนแง่นเหมือนกัน เพราะเจอศึกหนักหลายด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาภาคใต้ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัญหายาเสพติด ทำให้มองเห็นความไร้ความสามารถของรัฐมนตรี และตัวนายกรัฐมนตรีเองด้วย ประการต่อมานายทักษิณ กำลังถูกไล่ต้อนเข้าสู่มุมอับทางการเมือง ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่มีความจำเป็นต้องเดินตามเกมการต่อรองของพรรคเพื่อไทย แต่พรรคภูมิใจไทยจะมาดูเกมการดูด ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อมาผนึกกำลังให้เพิ่มมากขึ้น สร้างอำนาจการต่อรองกับพรรคเพื่อไทย ภาพรวมมองไปแล้วการปรับ ครม.เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองทั้งสิ้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลย
ถ้าให้มองพรรครวมไทยสร้างชาติแตกออกเป็น 2 ขั้ว จะเกิดผลดีกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ผมมองว่าพรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์อย่างมาก หากเห็นการล่มสลายของพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ นอกจากนี้ ยังได้อ้างความชอบธรรมในการเลือกตั้งสมัยหน้า โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปิดสวิตช์ 3 ป.” ประการต่อมา หากทั้ง 2 พรรคแตกเมื่อไหร่ จะทำให้ ส.ส.ส่วนหนึ่งไหลไปสู่พรรคใหม่ ที่มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เป็นกลุ่มทุนเดียวกัน การที่มี ส.ส.แตกออกไปจะไปสู่พรรคภูมิใจไทยน้อย ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจในการต่อรอง ตอนนี้ในรัฐบาลแต่ละพรรคต้องการเพิ่มเสียงของตัวเองให้มาก เพื่อเอาไว้ต่อรองกับกลุ่มทุน การล่มสลายของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเป็นโอกาสสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในการทำลาย 3 ป.ระยะยาว โดยเฉพาะ ส.ส. 18 คนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่สามารถคุยกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะอยู่กลุ่มทุนเดียวกัน ก็จะย้ายเข้าไปอยู่พรรคโอกาสใหม่ ส่วนพรรคพลังประชารัฐคงเป็นช่วงสุดท้าย เพราะบารมีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หมดแล้ว ไม่สามารถไปต่อได้ บรรดานักเลือกตั้งประจำจังหวัดเห็นว่าพรรคนี้หมดทรัพยากร หมดอำนาจ หมดบารมี ทำให้ ส.ส.บรรดานักเลือกตั้งจะต้องไปหาพรรคที่มีทรัพยากรใหม่
การปรับ ครม.ของพรรคเพื่อไทย หากคิดถึงประเทศชาติจริงๆ ควรเอากระทรวงที่มีปัญหาจริงๆ ที่แก้ปัญหาไม่ได้ อาทิ กระทรวงกลาโหม ที่เห็นชัดเจน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ควรมีการปรับออก เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก และภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งควรจะมีการปรับเลยไม่ต้องรอ
การปรับ ครม.เพื่อกระชับอำนาจเท่านั้น จัดสรรผลประโยชน์ให้กับชนชั้นนำต่างๆ ทางการเมือง หากเอาประเทศเป็นตัวตั้ง ก็ต้องไปดูว่ากระทรวงไหนทำงานล้มเหลว การปรับ ครม.ไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขทำเพื่อประชาชน สนใจเพียงแต่เพื่อให้การเลือกตั้งประสบชัยชนะเท่านั้น
สุดเขต สกุลทอง
อาจารย์และนักวิจัย วิทยาลัยบริหารศาสตร์ ม.แม่โจ้
หลังรัฐบาลเผชิญปัญหารอบด้าน ทั้งขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว วิกฤตเศรษฐกิจโลกจากการประกาศขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รวมทั้งข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
ทั้งนี้ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศยังไม่เท่าไหร่ เพราะเจอกันมาทุกรัฐบาลตั้งแต่ปี 2475 แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และการส่งออกที่ชะลอตัว ถือเป็นปัญหาใหญ่หากรัฐบาลแก้ไขเศรษฐกิจไม่ได้ มีแนวโน้มว่าถึงปรับ ครม.ไปไม่กี่เดือนก็อาจต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่
ส่วนความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา อาจนำไปสูการที่องค์กรระหว่างประเทศ ทั้งอาเซียนและยูเอ็นเข้ามา หากเป็นอาเซียนที่เข้ามาไม่มีปัญหามาก แต่ถ้าเป็นยูเอ็นย่อมเกี่ยวข้องกับเอกภาพและการสูญเสียดินแดน เพราะยูเอ็นอาจส่งกองทหารจากประเทศสมาชิกเข้ามาเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
หน้าตาของ ครม.ใหม่ พรรคเพื่อไทยต้องสร้างสมดุลและอาจต้องลดบทบาทของนักการเมืองหน้าเก่าที่มีประวัติความขัดแย้ง เพราะพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันมีความเข้มแข็งมากและพร้อมจะตรวจสอบอย่างเข้มข้น พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรนำนักการเมืองหน้าเก่าเข้ามาอีกแต่ควรดึงนักการเมืองหน้าใหม่เข้ามาแทน โดยเฉพาะคนที่จะเข้ามาคุมด้านเศรษฐกิจต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ แก้ปัญหาและดึงการลงทุนจากต่างประเทศกลับเข้ามาให้ได้ เพราะตอนนี้ค่าแรงของไทยสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียนมาก
พรรคเพื่อไทยต้องรักษาแต่แกนนำหลักไว้ และดึงคนรุ่นใหม่เข้ามา หรือดึงคนนอกที่มีความเชี่ยวชาญ แต่ที่ผ่านมาเพื่อไทยมักไม่ดึงคนนอกมีแต่รัฐมนตรีหน้าเดิมๆ และเวียนเก้าอี้กัน เมื่อโอกาสปรับ ครม.ครั้งสำคัญมาแล้ว พรรคเพื่อไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับสมดุล หากไม่ทำตอนนี้รัฐบาลอาจถึงทางตัน
ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยมักเป็นเช่นนี้ มีเรื่องของการต่อรองและการให้ตำแหน่งตอบแทนกับคนที่ทำให้พรรคชนะ เป็นเรื่องธรรมดาของพรรคเพื่อไทยที่มีความจำเป็นต้องตอบแทนให้กับเพื่อนพ้องที่ต่อสู้ร่วมกันมา แต่อย่าลืมว่ายังมีกุญแจสำคัญ คือ พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ที่เป็นเสาค้ำยันรัฐบาลอยู่ เพราะพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียวไม่สามารถเอาชนะพรรคประชาชนจนจัดตั้งรัฐบาลได้
ยุทธพร อิสรชัย
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช
ณ วันนี้มีโอกาสปรับ ครม.ขึ้นได้ โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการปรับ ครม. หลังจากที่กฎหมายงบประมาณ (ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569) ผ่านรัฐสภา แต่ว่าโจทย์ใหญ่ตอนนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งมีความเป็นไปได้อีกทางที่จะปรับก่อนก็ได้
โจทย์ของการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ ประการแรก คือ การปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ในระยะสั้นให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องว่าพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรค พท. ไม่ได้กระทรวงที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจอยู่ในมือทั้งหมด แต่กระจัดกระจายไปอยู่กับพรรคร่วมอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นการปรับ ครม.ที่จะทำให้เกิดการบูรณาการในการทำงานมากขึ้น อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่สำคัญ
ส่วนประการที่สอง คือ การปรับ ครม.เพื่อที่จะเตรียมการเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเราจะได้ยินเรื่องการทวง 2 กระทรวง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพลังงาน ให้กลับมาสู่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตอบโจทย์สำคัญของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้
โดยอาจจะมีวิธีการพูดคุยกันในพรรคร่วมรัฐบาลกันก่อน เนื่องจากหากปรับโดยไม่ได้หารือกับพรรคร่วมมันเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะนำมาสู่ความแตกแยก และปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน ฉะนั้น พรรคร่วมรัฐบาลคงจะต้องมาพูดคุยกันก่อนว่าจะมีการแลกเปลี่ยนกระทรวงกันอย่างไร ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลคุยกันอย่างลงตัว ซึ่งหากคุยกันได้เร็วก็จะมีการปรับ ครม.ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุด
แต่หากการพูดคุยในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลงตัว เราก็อาจจะเห็นการปรับ ครม.หลัง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านสภา ซึ่งมันก็จะเข้าสู่ช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำ ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียว แต่ว่าถ้าทุกอย่างลงตัวก่อน ก็อาจจะได้เห็นการปรับ ครม.ได้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะสถานการณ์ในวันนี้ เกิดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรือ ข้อพิพาทเรื่องดินแดน ซึ่งถูกเอามาคลุกรวมกันหมด แต่สิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลต้องแยกออกมาเป็นเรื่องๆ ในการที่จะแก้ปัญหาไป บางเรื่องก็ใช้ระบบรัฐสภา เช่น การปรับคณะรัฐมนตรี สำหรับการเจรจาต่อรองพูดคุย หรือบางเรื่องก็อาจจะต้องใช้กลไกทางกฎหมาย เช่น เรื่องชั้น 14 ก็ว่าไปตามกระบวนการ รวมถึง เรื่องข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา ก็ต้องดูว่ากลไกระหว่างประเทศ จะต้องใช้ได้บ้าง เช่น MOU43 การเจรจา หรือกลไกของความร่วมมืออาเซียน ซึ่งการที่กัมพูชาจะดึงเราไปศาลโลก เขาก็น่าจะมีความมั่นใจในเรื่องหลักฐานพอสมควร อย่าลืมว่ากัมพูชาเขาได้รับมรดกมาจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดเก็บเอกสาร จดหมายเหตุ แผนที่ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่เราประมาทไม่ได้
ฉะนั้น การแก้ปัญหา 2-3 เรื่องนี้ จะต้องแยกส่วนในการแก้ปัญหากัน เพราะถ้าเอามาคลุกรวมกัน มันก็จะนำไปสู่การสร้างให้เป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งอาจจะเกิดการขับไล่รัฐบาล หรือโยงใยไปถึงคนที่มีบทบาทกับรัฐบาลอย่างนายทักษิณ ชินวัตร โดยการที่จะฝ่าวิกฤตตรงนี้ได้ คงไม่ใช่แค่เรื่องการปรับ ครม.เท่านั้น แต่ว่าต้องเป็นเรื่องการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหา การสื่อสารทางการเมืองในภาวะวิกฤต ที่จะเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับสังคมให้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญในสถานการณ์ตอนนี้ ส่วนเรื่องการปรับ ครม.มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในการแก้ปัญหาพวกนี้เท่านั้น
ส่วนประเด็นความไม่ลงรอยกันในพรรคร่วมรัฐบาลนั้น มองว่าเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสม ที่จะมีการเคลื่อนไหวกันระหว่างพรรค หรือการเคลื่อนไหวของกลุ่มย่อยในแต่ละพรรค ซึ่งมันจะเกิดการต่อรองทั้งจากภายนอก คือ พรรคร่วมรัฐบาล หรือการต่อรองภายในที่เป็นกลุ่มก๊วนในแต่ละพรรค ดังนั้น เราจะคาดหวังให้พรรคร่วมรัฐบาลมีเอกภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากอยู่แล้ว มันมีจุดยืนที่แตกต่างกันแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรคมารวมกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สุดท้ายแล้วหากมีกลไกที่ทำให้เดินหน้ากันไปได้ ก็คิดว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าเรามักจะเห็นการเอาประเด็นความแตกต่าง หรือไม่ลงรอยเหล่านั้น มาผสมผสานกัน ทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ หรือเรื่องราวต่างๆ ทำให้เห็นภาพว่ารัฐบาลมันจะเดินต่อไปไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันอาจจะเป็นแค่ประเด็นที่ถูกจุดขึ้นมา เพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่า สุดท้ายแล้วภาพ ครม.ที่เห็น คือ คนที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง คนที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในตำแหน่งนั้น เพื่อตอบสนองการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน อันนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญ
ทว่า ในสภาพความเป็นจริงมีเรื่อง คณิตศาสตร์ทางการเมือง หรือโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี มันก็ยังเป็นสิ่งที่เอามาขับเคลื่อนกัน ดังนั้น เราต้องจูนทั้ง 2 อย่างให้ไปด้วยกันให้ได้ ทั้งเรื่องตัวเลขโควต้ารัฐมนตรี และความรู้ความสามารถของคนที่จะมาดำรงตำแหน่ง สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ หรือผู้พิจารณาเรื่องเหล่านี้ ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติ ความเหมาะสม และสร้างประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวมด้วย ซึ่งเรื่องหล่านี้ต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน ไม่ใช่เพียงว่าพรรคไหนได้จำนวนเท่าไหร่ แล้วจะส่งใครมาดำรงตำแหน่งก็ได้ เพียงแค่ตอบสนองต่อโควต้ารัฐมนตรี มันจะไม่พอประโยชน์อะไรกับประชาชน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าบุคลากรที่จะมานั่งในตำแหน่งเหล่านี้ ว่าใครมีความเหมาะสมตรงไหน ตำแหน่งอะไร และต้องมีกลไกตรวจสอบทางกฎหมาย และติดตามประสิทธิภาพการทำงาน เหมือนการวัด KPI ต่อด้วย