ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
จับตา‘นายกฯอิ๊งค์’
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ปรับครม.ฟื้นศรัทธา
การเมืองในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อ สมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ถึงแนวทางการแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาร่วมกัน
แต่ที่เป็นประเด็นร้อนคือ สาระสำคัญตอนหนึ่งของบทสนทนาในเวลา 17 นาทีเศษ คือ กรณีที่นายกฯมีการพาดพิงการทำหน้าที่ของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
ที่สื่อว่าไม่ได้เป็นแนวทางเดียวกันกับรัฐบาล
ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านของกลุ่มการเมือง ฝ่ายการเมือง ตลอดจนภาคประชาชนถึงขั้นออกมาเรียกร้องให้นายกฯแสดงความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผ่านบทสนทนาดังกล่าว ด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกฯ การยุบสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งมีข้อเสนอที่สุดโต่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยกับข้อเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร
ขณะที่นายกฯไม่ทำตามข้อเรียกร้อง พร้อมกับแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกมาแถลงขออภัยประชาชนถึงเหตุการณ์คลิปเสียงดังกล่าว โดยชี้แจงว่าเป็นเพียงเทคนิคการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลายด้วยความสันติ และยืนยันจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดดังกล่าวขึ้นอีก โดยย้ำว่ารัฐบาลและกองทัพยังมีความเป็นเอกภาพในการแก้ปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี รวมทั้งการบูรณาการทำงานของทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องผ่านทีมไทยแลนด์ โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ามาทำหน้าที่ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)
พร้อมกับได้ยื่นหนังสือประท้วงผ่านเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำเทศไทย แสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งขัดต่อหลักปฏิบัติในการดำเนินความสัมพัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นสากล กรณีนำคลิปเสียงการสนทนามาเผยแพร่ต่อสาธารณะ
เมื่อนายกฯยังเดินหน้าทางการเมืองต่อ สิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน คือ การเดินหน้าปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร 1/2 ภายหลัง “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่ยอมรับเงื่อนไข คืนกระทรวงมหาดไทยกลับให้พรรคเพื่อไทย (พท.) ดูแล แลกกับการดูแลกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าผิดข้อตกลงการเข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ต้น พร้อมกับออกแถลงการณ์ นำพรรค ภท. 69 เสียง ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และ 8 รัฐมนตรีของพรรค ภท.ยื่นลาออก มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2568 จึงเป็นโจทย์ของพรรค พท. ต้องรวมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลรวมกับ ส.ส.ที่มีจุดยืนสนับสนุนรัฐบาล รวมอยู่ที่ 261 เสียง ซึ่งมีมากกว่าเสียง ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของสภา 248 เสียง อยู่ 13 เสียง
โดยต้องบริหารจัดการเสียง ส.ส.จากกลุ่มอื่นมาเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลให้อยู่ในระดับปลอดภัย บวก-ลบที่ 270 เสียง ให้สามารถขับเคลื่อนงานในห้วงเปิดสมัยประชุมสภา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมเป็นต้นไป
เนื่องจากมีกฎหมายที่สำคัญๆ ต่อการเดินหน้านโยบายของรัฐบาลพรรค พท. อาทิ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่จะกลับมาพิจารณาในวาระ 2-3 อีกครั้ง รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ที่จะต้องใช้เสียงข้างมากชี้ขาด ขณะเดียวยังต้องเผชิญกับด่านกลั่นกรองกฎหมายในชั้นวุฒิสภา ซึ่งถูกมองว่าเป็น ส.ว.สีน้ำเงิน จะสกัดไม่ให้กฎหมายสำคัญๆ ของรัฐบาลเดินหน้าได้ง่ายนัก
ส่วนแรงเสียดทานภายนอกที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะเผชิญภายหลังการปรับ ครม. นอกจากจะต้องบริหารความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียง พรรคกล้าธรรม (กธ.) 26 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง ให้เดินหน้าร่วมกันขับเคลื่อนรัฐบาลผสมไปสู่เป้าหมายครบวาระในปี 2570 ที่จะต้องฝ่าด่านการใช้นิติสงครามสารพัดรูปแบบ มาตรวจสอบและเอาผิดต่อตัวนายกฯและ ครม.นับจากนี้
ทั้งกรณีประธานวุฒิสภาเข้าชื่อ ส.ว.ยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนและมีความเห็นว่า น.ส.แพทองธาร นายกฯ ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ยังทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านของมวลชน อาทิ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มอดีต กปปส. กลุ่มอดีต นปช. กลุ่มคปท. นักวิชาการ ศิลปินนักแสดง ที่รวมตัวนัดแสดงพลังชุมนุมในภารกิจ “รวมพลังแผ่นดิน” วันที่ 28 มิถุนายนนี้ พร้อมกับข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออกทันที ซึ่งต้องจับตาว่าการชุมนุมของกลุ่มการเมืองดังกล่าวจะจุดติด เป็นม็อบระยะยาวเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลได้หรือไม่
การเดินหน้าต่อของรัฐบาลนับจากนี้ ต้องพลิกวิกฤตที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาส ผ่านการปรับ ครม.แพทองธาร 1/2 ที่จะต้องคัดเลือกบุคคล ที่มีทั้งฝีมือและชื่อชั้นเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เดินหน้าบริหารงานแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ อย่างปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา การแก้ปัญหามาตรการภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาให้คลี่คลาย มีผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้โดยเร็ว
หากทำได้ย่อมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และฟื้นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลแพทองธารให้ดีขึ้น ที่จะส่งผลให้การเดินหน้าบริหารประเทศของรัฐบาลไปสู่เป้าหมายครบวาระทำหน้าที่ในช่วงกลางปี 2570
ส่วนนายกฯต้องเรียนรู้บทเรียนที่เกิดขึ้น เดินหน้าแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความรัดกุม ไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอย อันจะส่งผลต่อภาวะผู้นำในการบริหารประเทศนับจากนี้