อ่านเกม‘ฮุน เซน’ปมคลิปเสียง
ทางออกรัฐบาลแก้วิกฤต
หมายเหตุ – นักวิชาการวิเคราะห์กรณีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เป้าประสงค์ของสมเด็จฯฮุน เซน ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและทางออกของวิกฤตคลิปเสียงนี้
ยุทธพร อิสรชัย
อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช
ผมว่าเราไปตกหลุมพรางกัมพูชา คำถามคือการปล่อยคลิปของสมเด็จฯฮุน เซน ครั้งนี้มีเป้าหมายอะไร ผมคิดว่ามี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.การเมืองในกัมพูชา เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมต้องปล่อยคลิปเมื่อวันที่ (18 มิ.ย.2568) เนื่องจากเมื่อวานกัมพูชามีการชุมนุมใหญ่ และผู้นำในการชุมนุมก็คือ ลูกอีกคนหนึ่งของสมเด็จฯฮุน เซน แน่นอนว่าเขาหวังผลการสร้างกระแสเรื่องชาตินิยม กระแสความนิยมต่างๆ ของตัวสมเด็จฯฮุน เซน และ 2.การเมืองในประเทศไทย เพื่อให้ไทยเกิดปัญหา ความแตกแยกความวุ่นวาย ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การไร้เสถียรภาพทางการเมืองในภาพใหญ่ทั้งหมด และนั้นส่งต่อการได้เปรียบ เสียเปรียบ ทั้งการเมืองระหว่างประเทศกรณีไทย-กัมพูชา และในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กัมพูชาได้ยื่นต่อศาลโลก ก็เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นยิ่งเราไปพุ่งเป้าประเด็นขับไล่รัฐบาล ขับไล่นายกฯ แน่นอนว่าเราตกในเกมกัมพูชา
ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังแสดงความชอบธรรมให้รัฐบาลต่อ แต่ว่าเราต้องแยกประเด็นให้ออกว่าอะไรคือผลประโยชน์ของชาติ อะไรคือสิ่งที่เป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศก็จัดการไป นายกรัฐมนตรีจะถูกตรวจสอบอย่างไร ถูกดำเนินมาตรการใดก็ว่ากันไป ทางการเมืองก็ดี ทางกฎหมายด็ดี แน่นอนว่าการเมืองระหว่างประเทศ เราต้องไม่ทำให้สถานการณ์ตรงนี้ให้เราอ่อนแอหรือขาดเสถียรภาพ
จากสถานการณ์ในปัจจุบันทางออกของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีอยู่ 3 ทาง ได้แก่ 1.การลาออก เป้าหมายคือต้องการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ซึ่งลำดับถัดไปก็มีแคนดิเดตนายกฯ 5 คน 2.การยุบสภา เป้าหมายคือ การคืนอาจให้กับประชาชน ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือจะมีช่องว่างเรื่องสุญญากาศทางการเมืองไม่น้อยเลย การยุบสภารัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าต้องมีเรื่องการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน และไม่เกิน 60 วันซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึง 2 เดือนในขณะเดียวกันการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็ใช้ระยะเวลานาน เมื่อรวมกันแล้วก็ 3-4 เดือน ยกตัวอย่างการเลือกตั้งปี 2566 กว่าจะตั้งรัฐบาล ก็ใช้ระยะเวลา 6 เดือนได้ และ 3.การอยู่ต่อ แน่นอนว่าเป้าหมายการอยู่ต่อคือ การปรับ ครม.ในการแก้เศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่าแรงต้านมีอยู่สูงก็จะต้องทำหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น การแถลงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาภัยกัมพูชา อาจจะเป็นจุดยืนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับทางสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ต้องชัดเจน ทั้งการปรับความสัมพันธ์กับกองทัพ รวมไปถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน และที่สำคัญท่าทีพรรคร่วมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
หากมีการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่า พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ แน่นอนว่าก็ต้องตกไปและอาจจะต้องใช้งบประมาณเดิมไปก่อนจนกว่าจะมีสภาชุดใหม่ หากมีการเลือกตั้งใหม่ไม่เกิน 60 วันก็ไปถึงสิ้นปีงบประมาณอยู่แล้ว อาจจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ จะคล้ายๆ กับสถานการณ์การเลือกตั้งปี 2566 งบประมาณทุกอย่างล่าช้าไปหมด
ส่วนประเด็นรัฐบาลแห่งชาติ ณ วันนี้เกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ารัฐธรรมนูญกำหนดว่ารัฐมนตรีต้องได้รับการแสดงชื่อจากบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองได้ยื่นไว้ เรื่องการจะปลดล็อกแคนดิเดต ซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เป็นบทเฉพาะกาลและได้สิ้นบทไปแล้ว พร้อมกับอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ว. (ระหว่าง ส.ส.กับ ส.ว.) ฉะนั้นวันนี้สิ้นบทไปพร้อมกันแล้ว
ธนเชษฐ วิสัยจร
หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี
เป้าหมายของสมเด็จฯฮุน เซนในการปล่อยคลิปมีอย่างน้อย 3 ประการ ประการแรก คือการตอกย้ำพันธมิตรทางการเมืองระยะยาวกับตระกูลชินวัตร การสนทนากับ น.ส.แพทองธาร จึงเป็นการย้ำความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทางการเมืองนี้อีกครั้ง ประการที่สอง คือการส่งสัญญาณสู่เวทีอาเซียนว่า สมเด็จฯฮุน เซนยังมีอิทธิพลและสามารถแสดงบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศในฐานะผู้อาวุโสในภูมิภาคที่สามารถเจรจาพูดคุยและผู้นำฝ่ายบริหารฝั่งไทยแสดงท่าทีนอบน้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สาม คือ การโยนหินถามทาง ทดสอบปฏิกิริยาของกลุ่มการเมืองไทยและสาธารณชนว่ายอมรับกับท่าทีนายกรัฐมนตรีในลักษณะนี้ได้มากน้อยแค่ไหน แม้จะเป็นปรากฏการณ์พูดคุยที่ไม่เป็นทางการทว่าทับซ้อนกับสถานภาพของนายกรัฐมนตรีไทยเองที่มีความเป็นทางการ ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับท่าทีทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชาในอนาคต
สำหรับการเผยแพร่บทสนทนาทางการทูตและมีการบันทึกโดยไม่ขอความยินยอมล่วงหน้าจากอีกฝ่าย ถือเป็นการขาดมารยาททางการทูตอย่างร้ายแรง เพราะละเมิดความลับ การไว้วางใจ และความสุภาพซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ หากเกิดกรณีเช่นนี้ รัฐที่ได้รับผลกระทบควรใช้ช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการในการส่งสัญญาณไม่พอใจ หารือเพื่อลดผลกระทบ และกำหนดมาตรการป้องกันในอนาคต แต่ในทำนองเดียวกัน ท่าทีการพูดคุยของนายกรัฐมนตรีไทยก็ต้องประเมินและระมัดระวังตัวไว้ก่อนว่า แม้การสนทนาจะเป็นในทางลับก็ไม่ควรสนทนาในทางที่ไม่เป็นคุณต่อผลประโยชน์ของชาติ
ทางออกของประเทศไทยต่อวิกฤตการณ์นี้คือการสร้างกลไกความโปร่งใสทางการทูต ยืนยันความเป็นทางการในทุกการเจรจาและวางท่าทีอย่างมั่นคงในฐานะรัฐอธิปไตย การใช้การทูตเงียบ (quiet diplomacy) ในการหารือกับกัมพูชาอย่างจริงจังควรเกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามเป็นความขัดแย้งระยะยาวแต่ที่สำคัญที่สุด ผู้นำไทยควรตระหนักเสมอว่าทุกถ้อยคำและท่าทีในเวทีระหว่างประเทศคือการสื่อสารในนาม รัฐไม่ใช่ในนามส่วนตัว การเจรจาทางการเมืองในภูมิภาคที่ซับซ้อนเช่นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องอาศัยทั้งวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพทางการทูต หากเราประมาทในจังหวะ เพิกเฉยในรายละเอียด หรือปล่อยให้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกลายเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ของชาติ เมื่อนั้นประเทศไทยจะไม่ต่างจากเบี้ยตัวเล็กในกระดานใหญ่ของเกมอำนาจภูมิรัฐศาสตร์
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา
การปล่อยคลิปของสมเด็จฯฮุน เซน ผมมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง ที่มีผลกระทบต่อตระกูล “ชินวัตร” เพราะสมเด็จฯฮุน เซน ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายในกัมพูชาได้ เชื่อว่าปัญหาไทย-กัมพูชามีความขัดแย้งกันมานาน แต่ความขัดแย้งในครั้งนี้ต้องการให้เป็นการเมือง การที่สมเด็จฯฮุน เซนทำมาตั้งแต่ต้น โดยการสร้างกระแสปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อต้องการให้กับสมเด็จฯฮุน เซน และลูกชายไปกลบประเด็นความล้มเหลวในการบริหารงาน ปัญหาความขัดแย้งในกองทัพ และปัญหาเศรษฐกิจ แต่ปรากฏว่าได้มีการขยายความไปถึงกัมพูชาเป็นพื้นที่สแกมเมอร์หรือเป็นประเทศที่ก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลก ส่งให้สมเด็จฯฮุน เซนต้องยกระดับความเข้มข้น เพื่อปลุกกระแสให้เห็นว่าสมเด็จฯฮุน เซน พร้อมหักกับชินวัตรเพราะเป็นตระกูลที่มีอำนาจในประเทศไทย เพื่อปลุกกระแสคะแนนความนิยมต่อไป เดิมทีมองว่าเป็นละครเพื่อให้สมเด็จฯฮุน เซน-ทักษิณแก้ปัญหา เพื่อตบตาประชาชนทั้ง 2 ประเทศ แต่สถานการณ์ในกัมพูชาได้เกิดบานปลายและยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การปล่อยคลิปครั้งนี้ถือว่ามีผลต่อรัฐบาล ต้องเข้าใจว่า น.ส.แพทองธารที่ทำลงไปนั้นเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของประชาชนกับตัว น.ส.แพทองธารเอง ทำให้เห็นมองว่านายกรัฐมนตรีของไทยไปเลือกข้างกัมพูชา ส่วนให้มองว่าจะประเทศชาติเสียหายหรือไม่นั้น ผมมองว่ากระทบแค่ภาพลักษณ์เท่านั้น เพราะทุกคนรู้ว่าเป็นเกมการเมืองของไทย-กัมพูชา และภายในรัฐบาลไทยด้วยกันเอง รวมทั้งการแสดงบทบาทของประธานอาเซียน ซึ่งผมย้ำตลอดมาว่าไม่มีความสามารถเป็นเพียงการเล่นละครเท่านั้น
หากมองความขัดแย้งในรัฐบาล ผมมองว่ารัฐบาลอยู่ได้ และพยายามผ่านกฎหมายกาสิโนให้ได้ เพื่อให้กลุ่มทุนชนชั้นนำได้รับผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจให้มากที่สุด เพื่อเตรียมทรัพยากรในการเลือกตั้งครั้งหน้า รวมทั้งต้องบดขยี้พรรคภูมิใจไทยกับปัญหาการเลือก ส.ว. โดยทำอย่างไรก็ได้ให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ เพื่อให้เป็น ส.ว.สีแดง และต้องทำให้พรรคภูมิใจไทยแตก หรือนำไปสู่การยุบพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนการพิจารณางบประมาณ 2569 จะเป็นจุดจบของรัฐบาลหรือไม่นั้น อยากให้มองว่า 9 ตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนั้นเพียงพอสำหรับให้พรรคร่วม นี่คือเหตุผลหลักที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ตัดสินใจตีจากรัฐบาล
ณัฐกร วิทิตานนท์
อาจารย์ประจำสำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่
รัฐบาลไม่มีทางเลือกมากนัก ทางเลือกขั้นต่ำที่ทำไปแล้วคือการแสดงความรับผิดชอบโดยการแถลงขออภัย และยืนยันอยู่ในตำแหน่งต่อ
ส่วนแนวทางที่สองที่มีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา จากท่าที่ของพรรคร่วมและนักการเมืองส่วนใหญ่ยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะเพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาเพียง 2 ปี หลายคนเพิ่งได้เป็นรัฐมนตรีจึงไม่พร้อมเลือกตั้ง อย่างน้อยก็รอให้งบประมาณผ่านก่อน เห็นได้จากท่าทีของพรรคร่วมที่ขอรอดูท่าทีและพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย แม้มีแถลงการณ์แสดงจุดยืนถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ไม่ได้เสนอทางออกที่ชัดเจนว่าต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือยุบสภา แต่เป็นอันรู้กันว่าจะมีการเปลี่ยนแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยยังคุมอำนาจอยู่ เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เพราะเพื่อไทยก็ยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในช่วงที่กระแสพรรคตกต่ำ แต่การฝืนไปต่อก็อาจต้องเผชิญกับวิบากกรรม เพื่อไทยต้องขบคิดว่าอย่างน้อยต้องมีอะไรมากกว่าการแถลงขอโทษ ส่วนการปรับ ครม.ต่อให้ไม่มีพรรคภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล แต่ก็ต้องกระจายเก้าอี้ให้พรรคร่วมเดิมพอใจ เพราะที่ผ่านมาหลายพรรคก็มีปัญหาแบ่งเก้าอี้กันไม่ลงตัว
ยังไม่มีเงื่อนไขใดที่จะทำให้รัฐบาลหลุดจากตำแหน่งภายใต้กลไกของสภา เพราะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เงื่อนไขตาม รธน.ให้อภิปรายได้ปีละ 1 ครั้ง แม้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและงบประมาณไม่ผ่านรัฐบาลก็ไม่ล้ม แต่เป็นสปิริตทางการเมืองและเป็นประเพณีปฏิบัติ ที่รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศไทยเพราะคุมเสียงข้างมากในสภาไม่ได้ หากไปถึงจุดนั้นรัฐบาลอาจเจอกระแสโจมตี แต่โดยกลไกรัฐบาลไม่ต้องออกก็ยังอยู่ต่อได้เรื่อยๆ
ทั้งนี้ จุดที่จะทำให้รัฐบาลออกได้ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งอภิปรายได้ปีละ 1 ครั้ง ต้องมาตีความว่าปีละ 1 ครั้งนับจากที่ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่ที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี หรือนับตามปีปฏิทิน ถ้านับตามปีปฏิทินก็สามารถยื้อเวลาไปได้ถึงต้นปีหน้า แต่ถ้านับรอบตามวาระเดือนใน ก.ย.นี้ ก็สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจใหม่ได้