นักรัฐศาสตร์วิเคราะห์ผลเลือกตั้งอบจ.63 : ทำไมการเมืองเก่าคว้าชัย การเมืองใหม่แพ้ราบคาบ

ผลการเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศครั้งแรกรอบเกือบสิบปีที่หลายคนรอคอยออกมาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่น่าจับตา เพราะมีกลุ่มการเมืองระดับชาติ เข้าไปต่อสู้แข่งขัน ขับเคี่ยวกันเข้มข้น

มีคำถามตามมาว่า ผลการเลือกตั้งดังกล่าว สะท้อนอะไร ทำไมกลุ่มการเมืองนามสกุลดัง สามารถครองเก้าอี้นายก อบจ.ทั่วประเทศได้ ทำไมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าการเมืองใหม่ แพ้ทั้งหมด มันเกิดจากกระแสการเมืองระดับชาติหรือไม่ อย่างไร เรานำคำถามนี้ไปคุยกับนักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

  • ผลการเลือกตั้งอบจ.ทั่วประเทศ สะท้อนอะไร?

นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2557 แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้นับตั้งแต่ปี 57 อาจจะต้องย้อนไปก่อนปี 57 ด้วย กินเวลาจริงๆ ก็เกือบทศวรรษที่เราไม่ได้เลือกตั้งท้องถิ่นกันมา รวมทั้งหากจะมีใครสังเกต นี่เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับ อบจ.แบบพร้อมกันจริงๆ ทั้งประเทศครั้งแรก คือก่อนหน้านี้ อบจ.ไม่ได้เลือกตั้งพร้อมกันทั้งประเทศแบบนี้ครับ เนื่องจากถูกล็อกด้วยเงื่อนไขการรัฐประหาร ทำให้คราวนี้เป็นการเปิดพร้อมกันทั้งประเทศ

ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น แน่นอนว่ามีผลแตกต่างกันในแต่ละจังหวัด แต่ภาพรวมเราเห็นผู้ชนะ การเลือกตั้งในครั้งนี้คือการเมืองแบบเก่า การเมืองแบบเก่าพิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายังเข้มแข็งสามารถเอาชนะทางการเมืองได้

Advertisement

การเมืองแบบเก่าคืออะไร การเมืองแบบเก่า คือการเมืองแบบจักรกลการเมือง ที่ยังมีเรื่องของหัวคะแนน การหาฐานเสียง เรื่องของนักเลือกตั้ง เรื่องของบ้านใหญ่ และตระกูลการเมืองต่างๆ นี่คือลักษณะการเมืองแบบเก่าทั้งหมด การเลือกตั้งครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าการเมืองแบบเก่ายังมีความเข้มแข็ง ในระดับฐานราก

ในทางกลับกัน การเมืองแบบใหม่ถือว่าเป็นผู้แพ้ในรอบนี้ และแพ้อย่างราบคาบด้วย ในลักษณะที่สู้ด้วยอุดมการณ์ สู้ด้วยนโยบาย สู้ด้วยการเอากระแสระดับประเทศมาใช้ อันนี้คือมุมมองในเชิงภาพรวม

ที่พูดว่าการเมืองแบบเก่าชนะ มองได้เป็นสามเรื่องด้วยกัน คือ เรื่องหลักการ กระบวนการ และวิธีการ

Advertisement

หากว่าด้วยเรื่องหลักการ แม้เราจะมองว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นคือสนามในการทดลองประชาธิปไตย ถ้าท้องถิ่นเป็นประชาธิปไตย ประเทศก็เป็นประชาธิปไตย แต่ในเชิงหลักการต้องเข้าใจก่อนว่าการเมืองท้องถิ่น มันไม่เหมือนการเมืองระดับประเทศ การเมืองท้องถิ่นเป็นการเมืองที่ต้องอยู่กับปัญหาในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการเมืองท้องถิ่นมันพยายามพูดถึงปัญหาที่ใกล้ชิดในชีวิตประจำวันเรามากๆ ขยะเก็บหรือเปล่า ถนนมีไหม น้ำประปาเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเกิดเป็นคนกรุงเทพฯจะไม่เข้าใจเซ้นส์พวกนี้ เรื่องไฟฟ้า ประปา มันอยู่ที่ท้องถิ่นหมดเลย แต่ของกรุงเทพฯมันไม่ใช่

มันเป็นการเมืองในชีวิตประจำวัน ต้องอาศัยคนในพื้นที่ระยะยาว ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นนักการเมืองท้องถิ่นต้องทำงานพื้นที่ จะมาใช้กระแสไม่ได้ การเมืองเก่า จะมีประสบการณ์ในการประสาน หน่วยงานรัฐ สามารถเอาทรัพยากรจากราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค มาใช้ในระดับท้องถิ่นได้ เพราะเคยทำงานในพื้นที่มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจะเลือกจากคนที่เขาเห็น

โอเค เขาอาจจะไม่รู้จักกับนายกฯ แต่เขารู้จักคนที่สนับสนุนนายกฯ มันคือจักรกลการเมือง ที่มีระดับเป็นขั้น เป็นตอน ในแต่ละระดับที่เขามีคนวางไว้อยู่ การเมืองท้องถิ่นเป็นเหมือนกันเมืองเครื่องจักรที่กดปุ๊บติดปั๊บ สามารถคำนวณคะแนนได้เลยตั้งแต่ยังไม่ไปเลือกตั้ง มันไม่เหมือนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 นั่นคือการเมืองระดับชาติ คือถ้าเป็นระดับชาติ เราพูดเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิเสรีภาพ รัฐสวัสดิการ คุณพูดได้ เพราะคุณมีอำนาจ การเมืองระดับชาติมันพูดประเด็นภาพใหญ่ตรงนั้นได้

แต่การเมืองท้องถิ่นไม่ใช่ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเอาหลักระดับชาติ มาใช้กับท้องถิ่น เช่นอยากจะเปลี่ยนท้องถิ่นให้เป็นประชาธิปไตย เปลี่ยนท้องถิ่นให้ตรวจสอบได้ คนเวลาจะตัดสินใจเขาจะมองว่านี่ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของท้องถิ่น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เขาไม่ได้ต้องการสิ่งที่เป็นหลักการภาพใหญ่ เพราะเขาจะใช้กระแสในการเปลี่ยนแปลง อันนี้คือเรื่องแรกในเรื่องหลักการที่ทำให้การเลือกตั้งท้องถิ่นมันต่างจากการเลือกตั้งทั่วไป

ซึ่งคนที่ได้เปรียบจากการเลือกตั้งท้องถิ่น มันจึงนำไปสู่เรื่องที่สองคือเรื่องกระบวนการ เรื่องนี้นักข่าวมักจะใช้คำว่ากระสุนกับกระแส สำหรับผมมองว่ากระบวนการมันคือแนวทาง การต่อสู้ระหว่างการเมืองที่เป็นการเมืองบ้านใหญ่ การเมืองที่เป็นตระกูล กับการเมืองที่อิงกับการเปลี่ยนแปลงในระดับชาติ นั่นคือการเมืองที่เป็นเรื่องกระแส ซึ่งในเรื่องกระบวนการเราอาจจะต้องยอมรับว่าที่เรียกว่าบ้านใหญ่ จักรกลการเมือง หรือที่เรียกว่าตระกูลการเมืองก็ตาม คนกลุ่มนี้เขาอยู่กับพื้นที่มาโดยตลอด ใช่ไหมครับ โอเคมันอาจจะมีเรื่องการใช้เงินหรืออะไร แต่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำงานในระดับพื้นที่ ว่าเออ เขามีพรรคพวกมากขนาดไหน เขาไปจับกลุ่มกับเครือข่ายกลุ่มไหน ไปจับกลุ่มกับ อสม. ไปจับกลุ่มกับโรงสี ไปจับกลุ่มกับสมาคม โรงงานน้ำตาล ไปจับกลุ่มกับผู้รับเหมาก่อสร้าง แล้วกลุ่มพวกนี้ก็จะเข้าไปทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง คนเห็นตลอดไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานบุญ เราพูดอย่างนี้เหมือนจะเป็นการเมืองในต่างจังหวัด ซึ่งไม่ใช่ แม้แต่ในตัวเมืองก็ตาม การเมืองแบบนี้ก็ยังมีนัยสำคัญ การเมืองในระดับที่เป็นกระบวนการคนที่เป็นบ้านใหญ่จะได้เปรียบ อย่างมาก ผลการเลือกตั้งทำแล้วเห็นนะครับ

เอาง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงจังหวัดไกลเลย เอาแค่จังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯนี่ ก็คือบ้านใหญ่ทั้งนั้น คุณตู่ นันทิดาอย่างนี้ ชลบุรีอย่างนี้ที่ทุกระดับเป็นนามสกุลเดียวกัน ตั้งแต่ อบจ. เมืองพัทยา ยันเทศบาลบางแสน นามสกุลเดียวกันหมดเลย ฉะเชิงเทราก็เช่นเดียวกัน ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นฝั่งรัฐบาล ฝั่งเพื่อไทยก็ยังเป็นเรื่องตระกูลการเมืองเช่นเดียวกัน เช่นที่อุดรฯ หรือแม้แต่เชียงใหม่ ชื่อ ส.ว.ก๊อง อาจจะดูเหมือนเป็นคนใหม่มาสู้กับคนเดิม แต่จริงๆ นี่ก็คือคนของเจ๊แดง ทั้งหมดมันแสดงให้เห็นว่าตระกูลการเมืองมันยังมีความสำคัญ ตรงนี้จึงเป็นที่มาของคำว่ากระสุนยังมีความสำคัญมากๆ กระแสไม่สามารถเจาะเข้ามาในท้องถิ่นได้ เพราะกระแสมันเล่นกับภาพใหญ่ ถ้าต้องลงลึกไปในระดับหมู่บ้านกระแสมันไปไม่ถึง ต้องกระสุนเท่านั้น นั่นคือเครือข่ายของบ้านใหญ่

แน่นอนมันอาจมีบ้านใหญ่ที่ไปได้ไม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นที่ฉะเชิงเทรา อาจจะมองมีฝั่งก้าวหน้าอยู่ แต่ก็มีแค่ระดับเทศบาลที่เป็น “ฉายแสง” แต่ส่วนที่เหลือมันเป็นของผู้ใหญ่ไก่ ( กิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์) หมดเลย ผมพยายามจะบอกว่ากระบวนการ การเล่นการเมืองในระดับท้องถิ่นมันต้องใช้ระยะเวลา คุณจะมาเปิดตัวแล้วใช้กระแสแบบสื่อ เล่นกับความแหลมคม การชุมนุมประท้วง พวกนี้มันทำงานไม่ได้กับการเมืองท้องถิ่น การเมืองท้องถิ่นมันคือปัญหาในชีวิตประจำวัน แล้วเขาเจอมาอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่สิ่งที่สู้แล้วจบเหมือนกันเมืองระดับชาติ การเมืองระดับชาติบอกแก้รัฐธรรมนูญแล้วจบ แต่การเมืองท้องถิ่นมันไม่ใช่ ปัญหามันก็ยังอยู่ในชีวิตเราต่อไป เราก็เลยต้องเลือกคนที่เราคุยกับเขา เห็นเขาต่อเนื่อง นี่คือเรื่องกระบวนการที่ทำให้ไม่ว่ากลุ่มที่เป็นกลุ่มการเมืองหลัก ฝั่งเพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ยังอยู่ สามารถครองตำแหน่งได้หมดเลย

  • จะถ้าจะเอาภาพการเลือกตั้งในปี 62 มาเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่ได้?

ไม่เป็นแบบนั้นเลยครับ เพราะมันมีความแตกต่างกัน แต่ถามว่าถ้ามีการเลือกตั้งระดับชาติใหม่ ผลจะต่างกันไหม ก็ต่างกันนะครับ กลุ่มที่ใช้กระแสในการนำอาจจะได้รับคะแนนมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นการเลือกตั้งทั่วไป แต่พอเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นปัจจัยในการตัดสินใจของคนมันต่างกัน

  • ส่วนใหญ่เลือกจากคนที่เขาเห็นหน้า?

ใช่ เขาเลือกคนที่เขาเห็นหน้า คนที่ทำงานในพื้นที่ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเครือข่ายของบ้านใหญ่จะได้เปรียบมากๆ แม้บางคนบอกว่าก็มีคนที่ได้เป็นหน้าใหม่เช่นที่จังหวัดปทุมธานี แต่ก็ไม่ใหม่ซะทีเดียว ที่ปทุมธานีแม้ว่าจะไม่ได้ลงในนามพรรคเพื่อไทย แต่อย่าลืมว่าเขาคือคนที่มีวันนี้เพราะพี่ให้นะครับ เขาคือคนที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลการเมือง ครั้งนี้เราก็จะเห็นลูกเป็น ส.ส. พ่อหรือแม่เข้ามาเป็นนายก อบจ. บางคนพ่อหรือแม่เป็นส.ส.ก็ส่งลูกมาแข่ง เราจะเห็นนามสกุลดังๆ ชนะทั้งนั้น เทียนทอง สะสมทรัพย์ เดชเดโช หวังศุภกิจโกศล นี่คือนามสกุลที่เราได้ยินระดับรัฐมนตรี ระดับที่เป็นส.ส. ทั้งนั้น

ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องวิธีการ ก็คือกติกาในการเลือกตั้ง ทำให้ฝ่ายที่เป็นตระกูลการเมือง ฝ่ายที่เป็นจักรกลการเมือง ได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการเลือกตั้ง พอพูดถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นมันไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วไป การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นรูปแบบให้คล้ายกับระบบประธานาธิบดีนะครับ คือเราเลือกนายกโดยตรง เลือกผู้บริหารโดยตรง เราไม่ได้เลือกส.ส.แล้วให้ส.ส.ไปเลือกนายกฯทางอ้อม มันคือ winner take all เบอร์หนึ่งเท่านั้นที่ชนะ เบอร์สองต่อให้คุณได้คะแนนเยอะแค่ไหนคุณก็คือผู้แพ้

ตรงนี้เห็นได้ชัด ความพ่ายแพ้ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคณะก้าวหน้า อันเนื่องมาจาก winner take all ตรงนี้เลย ถ้าเราย้อนกลับไปปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ชนะจริงๆ แค่ 30 เขต แต่ได้บัญชีรายชื่อถึง 50 คน เยอะที่สุดในทุกพรรคการเมือง อันเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่ได้อันดับสองอันดับสามไงครับ ในเขตเขาอาจจะแพ้ แต่พอมาปันส่วนผสมในระดับชาติเขาได้บัญชีรายชื่อเยอะ และกลุ่ม 50 คนนั่นแหละก็คือการนำหลักของพรรคอนาคตใหม่ที่เราเห็นในข่าว จะเห็นว่าระดับชาติมันไม่ใช่ระบบ winner take all คุณอาจจะแพ้ในเขต แต่คะแนนคุณโอนมาในระดับบัญชีได้ แต่ท้องถิ่นมันไม่ใช่ ในระดับท้องถิ่นหนึ่งคนเท่านั้นที่จะชนะ ทำให้กลุ่มที่เป็นเครือข่ายในจังหวัดประสบความสำเร็จมากกว่า

แต่ในที่นี้ก็เนื่องมาจากปัญหาในตัวของคณะก้าวหน้าเองด้วย คณะก้าวหน้าประกาศว่าจงใจจะเล่นท้องถิ่นในทุกระดับ ไม่ใช่แค่ อบจ.นะครับ เทศบาลเขาก็จะลง อบต. บางเขตเขาก็จะลง หมายความว่ายังไงครับ หมายความว่าคนที่เป็นท้องถิ่นระดับเทศบาลหรืออบต. ซึ่งเคยสนับสนุนอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งปี 62 เขาก็ตั้งคำถามว่าทำไมคุณมาแข่งกับเรา อ้าว เขาก็เลยรู้สึกว่าอย่างนี้ต้องสั่งสอนคุณหน่อยแล้ว เขาก็เลยไปสนับสนุนกลุ่มอื่น ทำให้คะแนนของอนาคตใหม่หายไปเลยจนน่าตกใจ ดูง่ายๆ ที่พิษณุโลก ชลบุรี นี่คือจังหวัดที่มีอนาคตใหม่ชนะในระดับ ส.ส.เขต แต่กลายเป็นว่าคะแนนท้องถิ่นน้อยจนน่าตกใจ อันนี้ในเชิงวิธีการที่ทำให้จักรกลการเมืองหรือตระกูลการเมืองได้เปรียบ

อีกข้อหนึ่งปฎิเสธไม่ได้ก็คือเรื่องของการจัดวันเลือกตั้ง ตรงนี้ก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน การจัดตั้งแม้ว่า กกต.จะเป็นผู้ดูแลแต่ก็เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ในการเลือกตั้งท้องถิ่น คนจัดจริงๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานจริงก็คือเจ้าหน้าที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กกต. เพียงแค่กำกับดูแลภาพรวมไม่ให้ทำผิดกฎหมาย กรณีวันเลือกตั้งนี้มีปัญหา เพราะวันเลือกตั้งมันอยู่ระหว่างการหยุดยาวของสองอาทิตย์ เรามีวันหยุดยาวอาทิตย์ที่แล้วกับวันหยุดยาวปลายปี หรือหยุดปีใหม่ในอาทิตย์หน้า หมายความว่าในวันที่ 20 ธันวาคมนั้น คุณกลับมาบ้านทั้งสองสัปดาห์แล้ว ทั้งก่อนและหลัง แล้วคุณจะกลับมาเลือกตั้งอีกไหม ก็คงไม่เพราะคุณรู้ว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็กลับมาอีกแล้ว อาทิตย์ที่แล้วเราก็เพิ่งกลับไป คุณจะยอมกลับมาหรือ คือการกลับบ้านมันก็ต้องใช้ต้นทุนเหมือนกันนะ แล้วกลุ่มไหนที่จะต้องออกไปนอกจังหวัดตัวเอง ก็คือกลุ่มคนทำงาน ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย รวมไปถึงกลุ่มนิสิตนักศึกษา แรงงาน กลุ่มนี้คือคนทำงานนอกจังหวัด ความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมามันมีน้อย รวมถึงเงื่อนไขเรื่องโควิดด้วย แต่แน่นอนมันไม่ใช่ข้ออ้าง การไม่กลับก็คือไม่กลับ แต่พอมันจะได้วันเดียว ไม่มีเลือกตั้งล่วงหน้า ผลก็คือ คนที่อยู่ในจังหวัดนั้นก็จะเป็นผู้ลงคะแนนเสียง แต่คนที่อยู่ในวัยทำงาน คนที่เป็นคนรุ่นใหม่หลายคนก็ไม่ได้กลับมา คนที่อยู่ในฐานเสียง ถ้ามีข้อมูลน่าจะเห็นว่าเป็นคนที่มีอายุที่มากหน่อย คนที่ทำงานต่างจังหวัดมาเยอะแล้ว กลับมาทำงานจังหวัดตัวเอง หรือคนที่เกษียณแล้วกลับมาอยู่จังหวัดตัวเอง เพราะฉะนั้นฐานเสียงมันคนละกลุ่มกัน คนในเมืองอาจจะเห็นภาพเหล่านี้ไม่ชัด ต้องออกไปชานเมืองหน่อยหนึ่ง ยกตัวอย่างผู้ป่วยที่เป็นคนไข้ติดเตียง ต้องมี อสม.มาดูแลตลอด มาเยี่ยมที่บ้าน คนกลุ่มนึ้ก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรกลการเมืองทั้งสิ้น หากคุณเป็นคนค้าขาย อยากไปออกร้าน ต้องยุ่งกับกาชาด คนกลุ่มนี้ก็เป็นจักรกลการเมืองทั้งสิ้น เห็นไหมครับ การช่วยเหลือในระดับชีวิตประจำวัน

ตรงนี้ถามว่า เขาอยากเป็นประชาธิปไตยไหม แน่นอนเขาอยากเป็น แต่ถ้าให้เลือกระหว่างคนที่เราไม่รู้จัก ที่มีอุดมการณ์ที่ดีนะ กับคนที่เรารู้จัก ช่วยเหลือกันมาตลอด และพรุ่งนี้ก็ยังต้องเจอกับเราอยู่ และยังต้องอยู่กับเขาไป แน่นอนครับ มันตัดสินใจไม่ยากเลย เราก็ต้องเลือกคนที่ยังช่วยเหลือกับเราอยู่

ฉะนั้น จากทั้งหลักการ กระบวนการ วิธีการ มันทำให้เกิดผลลัพธ์จากการเลือกตั้งครั้งนี้ในสองระดับ คือระดับท้องถิ่น และระดับชาติ ระดับท้องถิ่น กว่าสิบปีที่เราไม่ได้เลือกตั้งท้องถิ่น ยังตอกย้ำให้เห็นว่าบ้านใหญ่ยังเข้มแข็งอยู่ ตระกูลการเมืองและจักรกลการเมืองยังเข้มแข็งอยู่ มันจึงคาดหมายได้ว่าคณะก้าวหน้าจะไม่ชนะเลยใน 40 กว่าเขตที่ส่งลง

แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ คือมันมีผลต่อระดับชาติยังไง เพราะโดยปกติ อบจ. จะไม่ค่อยเกี่ยวกับระดับชาติเท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้เลือกพร้อมกัน เป็นลักษณะจังหวัดใครจังหวัดมัน แต่ครั้งนี้มันเลือกพร้อมกัน แน่นอนเพราะผลมันออกมามันจะออกมาเหมือนกับเป็นภาพรวมทั้งหมด มันจะเห็นว่ากลุ่มไหนได้เยอะกลุ่มไหนได้น้อย กลุ่มไหนแพ้เยอะกลุ่มไหนแพ้น้อย ส่งผลต่อการเมืองระดับชาติแน่ๆ ตรงนี้ต้องยอมรับว่าทุกพรรคการเมืองหลักรักษาฐานเสียงของตัวเองได้ระดับหนึ่ง เชียงใหม่ไม่แตก ปทุมธานีไม่แตก ฝั่งพลังประชารัฐ อย่างฉะเชิงเทราเขาก็เอาอยู่ ในหลายจังหวัดภาคใต้ที่เป็นของประชาธิปัตย์ เขาก็เอาอยู่ ทั้งหมดนี้เอาอยู่ทั้งสิ้น ในพื้นที่ของตัวเอง กลายเป็นว่าฝั่งที่มีปัญหามากที่สุดคือกลุ่มที่เรียกว่าคณะก้าวหน้า ซึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขาก็คือกลุ่มก้อนเดียวกับพรรคก้าวไกล นี่คือกลุ่มที่หายไปเลยจากการเมืองท้องถิ่น

ถามว่าการพ่ายแพ้ของคณะก้าวหน้าครั้งนี้ส่งผลต่อการเมืองระดับชาติอย่างไร แน่นอนว่าส่งผลเพราะคณะก้าวหน้าก็มีความใกล้ชิดกับการชุมนุม แสดงว่ากระแสจากการชุมนุม ไม่ได้ส่งผลอะไรกับ การตัดสินใจใน การเลือกตั้งท้องถิ่นนะครับ

แน่นอนอาจจะมีคนฉวยโอกาส บอกว่านี่ไงคนไม่เอาม็อบ ในข้อเท็จจริงอาจจะไม่ใช่ มันไม่เกี่ยวกับม็อบ มันไม่เกี่ยวกับเอาหรือไม่เอาม็อบ ตรงนั้นมันเป็นประเด็นระดับชาติ

  • ก้าวไกลไม่ได้แพ้เพราะกระแสเรื่องชังชาติหรือหนักแผ่นดิน ที่มีคนกลุ่มหนึ่งโจมตี?

ไม่ใช่ครับผม แม้เวลาหาเสียงเราจะเห็นคณะก้าวหน้าหรือธนาธร ปิยบุตร หรือคุณช่อ ลงไปหาเสียงแล้วโดนไล่ใช่ไหมครับ แต่เราเห็นภาพในหลายจังหวัดแล้วว่าเขาเป็นคนกลุ่มน้อยมาก หลายจังหวัดเขาก็หาเสียงตามปกติ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะประเด็นเรื่องรักสถาบัน หรืออะไรก็ตามเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องการเมืองระดับชาติ มันไม่ใช่เงื่อนไขในการตัดสินใจการเมืองในระดับท้องถิ่น แน่นอนไม่ได้บอกว่าคนเอาหรือไม่เอาม็อบ สนับสนุนประชาธิปไตย หรือฝ่ายที่ไม่ต้องการปฏิรูปสถาบัน เพราะนั่นคือประเด็นระดับชาติ เค้าไม่ได้ใช้ปัจจัยด้านนั้นในการตัดสินใจ ในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ แต่อย่างที่บอกแม้ประชาชนจะไม่ได้ใช้ปัจจัยดังกล่าวในการตัดสินใจ แต่ผลการเลือกตั้งมันถูกนำไปใช้ต่อ ผลักดันต่อแน่ๆ ว่าจะเป็นขาลงของม็อบหรือไม่ ในที่นี้รวมไปถึงขาลงของก้าวไกลหรือไม่ อันนี้ไม่ใช่แค่ฝั่งรัฐบาลเท่านั้นที่จะแซะก้าวหน้า แม้แต่เพื่อไทยบางคนเองก็มี

ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าในระดับท้องถิ่นยังไม่เปลี่ยนแบบที่ก้าวหน้าต้องการ การเมืองแบบเก่าก็ยังชนะ หากต้องการเห็นการเมืองแบบใหม่ การเมืองที่เน้นอุดมการณ์ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ก็ต้องทำการบ้านใหม่ว่า ถ้าเราบอกว่าท้องถิ่นคือห้องทดลองของประชาธิปไตยระดับชาติ กลุ่มที่เป็นฝ่ายก้าวหน้ามองกลับกันหรือเปล่า ฝ่ายก้าวหน้ามองว่าการเมืองระดับชาติเปลี่ยนจึงจะมาเปลี่ยนท้องถิ่น แต่จริงๆมันเป็นท้องถิ่นเปลี่ยนก่อนหรือเปล่า ถึงจะไปเปลี่ยนการเมืองระดับชาติ โอเค วันนี้อาจจะแพ้แต่ก็ต้องทำงานในพื้นที่ต่อไป ถ้าจะสู้กับท้องถิ่นก็ต้องอยู่กับพื้นที่ การจัดกลุ่มก้อนต่างๆ การใช้กระแสมันทำงานได้ในระดับชาติ กับผู้ว่าฯกทม.เท่านั้น

  • จากผลการเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อไทยเสียหายสุด แบบที่มีการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้หรือไม่?

ไม่ครับ มีหลายจุดอาจจะเสียไป แต่ก็ไม่ได้เสียหายมากขนาดนั้น แล้วมีส่วนที่ได้มาเหมือนกันนะครับ อย่างปทุมธานีก็ถือว่าเป็นจังหวัดที่ได้มา ภาคเหนือหลายจังหวัดเพื่อไทยก็ยังได้เก้าอี้อยู่

  • เชียงใหม่สะท้อนอะไร

เชียงใหม่เป็นการสู้ระหว่างเพื่อไทยด้วยกันเอง แม้คนจะบอกว่าฝั่งที่ทักษิณเชียร์คือ ส.ว.ก๊อง เป็นเพื่อไทยจริงๆ แต่อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นเสื้อแดงเก่า ซึ่งต้องถือว่าก็เป็นบ้านใหญ่ทั้งคู่ อย่าลืมว่าเชียงใหม่ก็เป็นบ้านใหญ่ของเจ๊แดง ฉะนั้นมันคือการสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองสองกลุ่ม แต่ด้วยกระแสของทักษิณ ที่ออกมาด้วย ก็ถามเห็นว่าการยึดเชียงใหม่ได้ก็ถือว่าเท่าตัว มันเป็นเรื่องของบ้านใหญ่ ขนาดอดีตนายกฯเวลาเขียนจดหมายอ้อนชาวเชียงใหม่ ก็ต้องเขียนเป็นภาษาเหนือโชว์ลักษณะของความเป็นท้องถิ่น ในจดหมายนั้นเค้าไม่ได้พูดเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิเสรีภาพนะครับ เขาพูดว่าเขาโดนทิ้ง คล้ายๆ กล่าวหาว่าอีกคนหนึ่งย้ายไปพลังประชารัฐ ซึ่งจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แล้วก็พูดเรื่องทำประโยชน์ให้ชาวเชียงใหม่สมัยเป็นรัฐบาล นี่มันเรื่องท้องถิ่น เขาไม่ได้พูดเรื่อง 30 บาท ไม่ได้พูดเรื่องนโยบายระดับชาติ เค้าพูดถึงสิ่งที่มันมีอยู่ในเชียงใหม่ เพราะเขารู้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้คนตัดสินใจ

  • รอบนี้เหมือนมีการพูดเรื่องการซื้อเสียงเยอะมาก มันแปลว่าการเมืองไทยก็ไม่ได้พัฒนา?

การซื้อเสียงเราต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่แค่การให้ตังค์ อย่าไปคิดว่าเงิน 200 ถึง 300 บาทจะไปเปลี่ยนใจคนได้ ในทางเดียวกัน บ้านใหญ่ หรือคนที่เป็นตระกูลการเมืองแข่งขันกันในระดับท้องถิ่น แน่นอนว่ามีการใช้เงินอยู่แล้ว แต่ปัจจัยจริงมันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน สมมุติผมอยากลงเลือกตั้ง ผมเอาตังค์ 200 ไปแจกทุกบ้านคิดว่าผมจะได้รับการเลือกตั้งไหมครับ ไม่ได้นะครับ ถ้าผมไม่มีทีมงาน ไม่มีคนทำงานในพื้นที่มาก่อน ผมไม่มีคนรู้จักในพื้นที่ และคนรู้จักในพื้นที่ของผมก็ต้องทำผลงานในระดับชุมชนของเขาด้วย การใช้เงินเลือกตั้งมันเป็นเหมือนปลายทางเท่านั้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด เงิน 200 มันไม่สามารถเปลี่ยนใจคนได้ ถ้ามองว่าเงิน 200 เปลี่ยนใจคนได้นี่ดูถูกประชาชน และระบอบประชาธิปไตยมาก ผมมองว่าไม่ว่าคุณจะตัดสินใจด้วยเงินไขใดก็แล้วแต่นั่นคือสิ่งที่คุณสามารถทำได้ แน่นอนว่าคนให้เงินก็ผิดแน่ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่าเงิน 200 ถึง 300 บาทเปลี่ยนใจคนได้ คือคนมันเลือกมาก่อนหน้านั้นแล้ว การให้มันเหมือนกับสินน้ำใจส่วนหนึ่ง เล็กๆเท่านั้น ต้องใช้คำว่าเล็กๆเลยนะครับ ต่อให้คุณให้ไปแต่งานชุมชนคุณไม่เคยไป งานแข่งเรือ งานชนวัว คุณไม่เคยไปเขาก็ไม่เลือก เงิน 200 มันซื้อเสียงขนาดนั้นไม่ได้

  • การเมืองในพื้นที่ภาคใต้ก็ไม่ต่างกัน?

ก็ไม่ต่างกันครับ แต่ที่สนุกเห็นจะเป็นนครศรีธรรมราช กลุ่มต่างๆ บี้กันสนุกมาก มันยังไม่เปลี่ยนขนาดนั้น หรือแม้แต่สุราษฎร์ธานีที่แข่งกันเอง สุดท้ายแล้วก็ยังบอกว่าเป็นเรื่องของกลุ่มการเมืองตระกูลหลักๆ เขาได้เปรียบอยู่ หลายตระกูลมีความใกล้ชิดกลับพรรคการเมืองแต่เค้าเลือกที่จะไม่ลงในนามพรรคการเมือง เพราะเค้ารู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ขนาดบิ๊กแจ๊สก็ยังไม่ลงในนามพรรคเพื่อไทยเลย เพราะเค้ารู้ว่าปัจจัยการเมืองระดับชาติมันอาจจะเป็นตัวช่วยแล้วก็ตัวบั่นทอนไปในตัว จะเห็นว่ามันไม่ได้เปลี่ยนในเชิงระบบ

การเลือกตั้งครั้งนี้แม้หลายที่ ตัวนายกจะเปลี่ยน แต่ก็มาจากการใช้ระบบการหาเสียงแบบเดิม กลไกมันเหมือนกันแสดงว่าท้องถิ่นมันไม่เปลี่ยน ผมเลยบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นชัยชนะของการเมืองแบบเก่า คือการเมืองแบบใหม่มันกำลังมา แต่มันเป็นเพียงกระแส มันต้องใช้เวลาในการทำให้คนปรับพฤติกรรมทางการเมือง อาจจะต้องมีการเลือกตั้งอย่างนี้อีกหลายครั้งมากยิ่งขึ้น ต้องมีท้องถิ่นอีกบ่อยๆ ระดับชาติอีกบ่อยๆ มันต้องใช้เวลาครับ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งมันจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไงครับ แม้ว่ารอบนี้การเมืองแบบเก่าจะชนะแต่ผลมันก็นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าว่าเค้าจะชนะแบบเดิมหรือเปล่า เพราะเวลามันเปลี่ยนไป สถานการณ์มันเปลี่ยนไปและนี่คือเสน่ห์ของประชาธิปไตย

  • การเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเทศบาลหรือกรุงเทพมหานครก็คงเป็นแบบนี้?

เทศบาลใช่ครับ แต่กรุงเทพฯ ไม่ใช่ กรุงเทพฯ คือศูนย์กลางอำนาจ ทุกครั้งที่มีม็อบ มีการปิดถนน มีการจัดงาน ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครต้องเป็นคนที่สามารถทำงานกับรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง ในอดีตเราเห็นมาแล้วว่าผู้ว่าฯกรุงเทพเป็นพรรคหนึ่ง รัฐบาลเป็นอีกพรรคหนึ่ง ก็จะตีกันตลอด แล้วก็จะโยนกันไปมาว่าเป็นปัญหาของใคร อันเนื่องมาจากผู้ว่าฯกรุงเทพมันเป็นการเลือกคนคุมอำนาจ ในส่วนกลาง เพราะฉะนั้นการเมืองในระดับชาติจะมีผลอย่างมาก ลองย้อนกลับไปสมัยเลือกตั้งพลตำรวจเอกพงศพัฒน์ พงษ์เจริญ ที่ได้คะแนนนำมาตลอด ผมจำไม่ได้ช่วงปี 53 ถึง 54 แต่พอใกล้เลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ชูเรื่องเผาบ้านเผาเมืองขึ้นมา แล้วยิงป้ายหาเสียงเรื่องเผาบ้านเผาเมืองทั่วกรุงเทพฯ สุดท้ายสุขุมพันธุ์ชนะครับ โดยใช้เรื่องการเมืองระดับชาติ เป็นกระแสในการผลักให้คนกรุงเทพฯเห็นว่าคนกลุ่มนี้มันน่ากลัว จะเห็นว่ากรุงเทพฯการเมืองระดับชาติมีผลแน่ๆ และคนกรุงเทพฯเขาไม่ได้อยู่กับการปกครองท้องถิ่น คนกรุงเทพฯเขาเอาตัวรอดในลักษณะที่เป็นปัจเจกนิยม มันไม่ได้อยู่ในระดับที่เป็นท้องถิ่น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image