เฉลิมชัย ศรีอ่อน
ต่อยอด 5 ยุทธศาสตร์
งัด BCG เสริมทัพ‘เกษตร’
หมายเหตุ – นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ฉายภาพภาคการเกษตรทั้งเมื่อปี 2564 และแผนการขับเคลื่อนในปี 2565 และพยายามพัฒนาภาคการเกษตรให้ทันยุคสมัยใหม่ ซึ่งมีการแข่งขันกันสูงขึ้นในตลาดโลก
ปี 2564 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เริ่มยุทธศาสตร์ไว้ 5 ด้าน คือ 1.นโยบายตลาดนำการผลิต ซึ่งจะมีการผูกโยงให้เข้ากับการตลาด มีการพัฒนาตลาด และฝึกเกษตรกร ให้เป็นพ่อค้า แม่ค้า มีการแนะนำตลาดออนไลน์ โมเดิร์นเทรด เพื่อตัดวงจรของพ่อค้าคนกลางให้ได้มากที่สุด 2.ยุทธศาสตร์เทคโนโลยี 4.0 ซึ่งเป็นการรองรับช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ตลอด 2 ปี โดยมีการแนะนำให้เกษตรกรรู้จักการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาการเกษตรให้เป็สมาร์ทฟาร์มเมอร์ และเป็นการลดจำนวนแรงงาน รวมถึงควบคุมคุณภาพผลผลิต และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น
3.ยุทธศาสตร์ 3S เกษตรปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน เรื่องนี้เข้ากับเทรนด์หลังจากช่วงหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 โลกต้องการสิ่งที่ดีที่สุด คือ อาหารที่ปลอดภัย ซึ่งทางกระทรวงได้พัฒนาแปลงเกษตรให้เป็นมาตรฐาน GIP (Good Importing Practice) และมีการพัฒนาในส่วนของเนื้อสัตว์ ที่เรียกว่า “ปศุสัตว์ OK” เพื่อเป็นการยืนยันถึงคุณภาพ 4.เกษตรกรรมยั่งยืน ตามแนวพระราชดำรัส (ศาสตร์พระราชา) โดยเป็นการนำทฤษฎีเกษตรพอเพียงมาใช้ นำไปสู่โครงการ 1 ตำบล 1 เกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย ที่มีกว่า 40-50% ของประชากรไทย
และ 5.ยุทธศาสตร์การบูรณาการกับส่วนราชการอื่นๆ และภาคเอกชน อาทิ การประสานงานเรื่องโลจิสติกส์ การตลาดออนไลน์ โมเดิร์นเทรด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้มีการบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำเช่นนี้ได้รับผลตอบรับที่ดี วัดได้จากยอดขายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 30% กับกระทรวงพาณิชย์ก็ทำงานแบบกระทรวงพี่ กระทรวงน้อง ช่วยกันแก้ไขเรื่องสินค้าเกษตรภายในประเทศ ที่ส่งไปยังต่างประเทศ รวมถึงฑูตเกษตรและพาณิชย์ก็ทำงานประสานกันช่วยกันแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตรเพื่อลดการติดขัดได้
หากจะพูดถึงความสำเร็จของภาคเกษตรให้เห็นภาพ คือ ปัจจุบันภาคเกษตรสามารถประคองผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศได้ วัดจากมูลค่าสินค้าเกษตรที่มีการส่งออกในส่วนของสินค้าพืช สัตว์ หรือสินค้าแปรรูป เม็ดเงินที่ได้จะตกอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งต่างจากอุตสาหกรรมประเภทอื่น ที่อาจจะได้เงินจากค่าแรง หรือค่าภาษี แต่ผลิตภัณฑ์เกษตร จะสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ 100% โดยเมื่อปี 2563 สินค้าเกษตรที่ส่งออกมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท และเมื่อเดือนตุลาคม 2564 การส่งออกสินค้าเกษตร มีมูลค่ากว่า 1.5-1.6 แสนล้านบาท คาดว่าเมื่อจบปี 2564 จะมีมูลค่าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านบาท ยังไม่รวมกับสินค้าผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารสัตว์ที่ไทยติด 1 ใน 3 ของโลก ที่มูลค่าการส่งออกในส่วนนี้กว่า 6-7 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น หากมีการรวมสินค้าทุกตัวของภาคเกษตร จีดีพีภาคเกษตร จะต้องมากกว่า 8% ของจีดีพีไทย หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.23 ล้านล้านบาท
เพราะฉะนั้นปี 2565 โครงการที่จะผลักดันต่อคือการสร้างไทยเป็นครัวโลกจะเข้มข้นมากขึ้น และจะมีการกำชับให้การผลิตมีคุณภาพสูงสุด และจะมีการจัดทำ Agri-Map ทั้ง 77 จังหวัดใหม่ ดังนั้น การตรวจสอบสภาพดิน และภูมิอากาศ จะสามารถระบุได้ชัดเจนและเหมาะสมกับการปลูกพืชที่ตรงต่อพื้นที่และความต้องการมากขึ้นอีกด้วย
“การเพิ่มขึ้นของจีดีพีเกษตรนั้น มองว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นสองหลัก โดยผมจะพยายามทำให้เป็นจริงให้ได้ เป็นความหวัง ความมุ่งมั่น และตั้งใจ ของผมและข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ทุกคนที่อยากจะเห็นจีดีพีเกษตรแตะสองหลัก ซึ่งในปีหน้าจะผลักดันให้มูลค่าสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างปีนี้หลายอุตสาหกรรมอาจลดลงจากโควิด-19 หรือเศรษฐกิจโลก แต่ในปัจจุบันภาคเกษตรทุกสินค้ารวมกันเพิ่มขึ้นกว่า 13% แต่หมดปี 2564 คาดว่ามูลค่าจะเพิ่มเป็น 1.4-1.5 ล้านล้านบาท”
ส่วนการส่งออกที่ถือเป็นพระเอกของไทย อย่างทุเรียน เป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่ไทยจะต้องรักษาตลาดการส่งออกไว้ให้ได้ ซึ่งในปีนี้มูลค่าการส่งออกทุเรียนพุ่งไปกว่า 1 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าไทยจะสามารถเพิ่มรายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ต่อปี ไปเรื่อยๆ ส่วนสินค้าอื่นๆ อาทิ ลำไย มันสำปะหลัง และยางพารา ก็เป็นดาวเด่นที่เราจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่มในการที่จะนำเม็ดเงินเข้าประเทศ เนื่องจากป็นสินค้าเกษตร ที่ถ้าเข้าเท่าไหร่ก็จะเข้าสู่ประเทศเท่านั้น รวมถึงจะเข้าสู่กระเป๋าของเกษตรกรโดยตรงด้วย
ขณะที่ สินค้าปศุสัตว์ ปัจจุบันกระทรวงได้เริ่มโครงการปศุสัตว์ แซนด์บ็อกซ์ ในการควบคุมและรักษาคุณภาพ เพื่อให้เป็นที่รองรับของนานาชาติ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงอยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งของพืชและสัตว์ โดยมองว่าสินค้าที่ยังมีอนาคต คือ ไก่ และเนื้อวัว เนื่องจากเราสามารถควบคุมโรคต่างๆ ในสัตว์ได้แล้ว อาทิ โรคลัมปี สกิน ปัจจุบันก็สามารถควบคุมได้แล้ว ส่วนไก่ ก็เริ่มเปิดตลาดแล้วแต่ยังติดขั้นในเรื่องของการเดินทางไปเจรจากับประเทสปลายทางได้ โดยเฉพาะจีน เนื่องจากติดในเรื่องของหลักเกณฑ์ของประเทศต้นทางที่ต้องกักตัว 21 วัน ถึงจะเดินทางไปพูดคุยเจรจาได้
ก่อนหน้านี้กระทรวงได้เดินทางไปทำพิธีสารข้อตกลงแล้วผ่านทางออนไลน์ แต่ก็ไม่เหมือนกับการไปนั่งคุยเจรจาด้วยตนเอง ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีการส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงไปพูดคุยต่อรองอย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของผลการหารือเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังมีการเจรจาค้างไว้หลายเรื่อง แต่บางเรื่องก็ได้รับการตอบรับมาบ้างแล้ว อาทิ เรื่องบริษัทส่งออกข้าว ที่สำนักงานศุลกากรของจีน (GACC) จะต้องขึ้นทะเบียนออนไลน์ จึงจะสามารถส่งสินค้าเข้าประเทศจีนได้ แม้ว่าบริษัทส่งสินค้าของไทยจะได้รับการขึ้นทะเบียนและส่งสินค้าได้แล้ว แต่บางส่วนก็ต้องมีการเจรจาต่อรองเงื่อนไข ซึ่งมองว่าจะได้ผลกว่าการเจรจาต่อรองเป็นหนังสือ ตั้งเป้าไว้ว่าหากในปี 2565 จีนเปิดประเทศให้เดินเข้าได้แบบไม่ต้องกักตัว จะเร่งดำเนินการในส่วนนี้ทันที
ส่วนเรื่องรถไฟจีน-ลาว เป็นอีกโปรเจคที่กระทรวงตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดำเนินการ ประสานงานเรื่องโลจิสติกส์และปริมาณสินค้าที่จะข้ามแดน ซึ่งส่วนนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะส่งสินค้าไปได้
ขณะที่เรื่องของการลดมลภาวะ ปี 2564 กระทรวงมีการลดการเผาไหม้กว่า 50% ซึ่งเป็นการตรวจสอบจากจุดความร้อนที่มีอยู่ในประเทศลดลง แม้จำนวนจะลดลงแล้ว แต่ยังต้องมีการรณรงค์ต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงได้จับมือกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทำเอ็มโอยู สร้างความยั่งยืน โครงการผลิตไฟฟ้าและพลังไฟฟ้า จากพืชพลังงาน ระยะโครงการ 10 ปี ซึ่งเป็นอีกมาตรการที่จะดึงพืชพลังงานมาใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีผลในอนาคตที่มีความต้องการพลังงานบริสุทธิ์มาขึ้น โดยทำควบคู่กับการทำ Agri-Map ทั้ง 77 จังหวัด เพื่อแยกพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการพืช อาทิ ข้าว เพื่อหันมาปลูกพืชที่ได้ผลประโยชน์มากกว่าอย่างพืชพลังงาน อาทิ ยูคาลิปตัส หญ้าเนเปีย และไผ่ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ว่าเหมาะที่จะปลูกพืชชนิดไหน อาทิ การคัดพื้นที่นาดอนประมาณ 2 ล้านไร่ มาปลูกพืชเหล่านี้ทดแทน จะช่วยในเรื่องการลดซัพพลายข้าวลง
อีกส่วนหนึ่งจะนำซากสิ่งเหลือใช้จากภาคเกษตรมาเป็นวัตถุดิบเพื่อแปรรูปเป็นพลังงาน เพื่อลดการเผาของเกษตรกร และเป็นการลดคาร์บอร์น และช่วยลดโลกร้อนได้ ตามนโยบาย BCG ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อีกด้วย
นอกจากนี้ ได้ศึกษาพื้นที่ภาคใต้ที่มีการปลูกปาล์ม และยางพารา ค่อนข้างเยอะ เศษที่เหลือจากการตัดสามารถนำมาเป็นพลังงานได้ บวกกับการปลูกเป็นแปลงซึ่งในส่วนนี้อยู่ในกระบวนการที่ศึกษามากว่าครึ่งปีแล้ว ส่วนพื้นที่ในการปลูกพืชพลังงาน 2 ล้านไร่ นั้น จะคละกันไปทั่วประเทศ และจะประชาสัมพันธ์ในมีการรวมกลุ่มกันทำเป็นแปลงใหญ่ หรือธุรกิจชุมชน เพื่อให้ง่ายต่อการบริหาร และเป็นการช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการอีกด้วย
โครงการนี้จะเกิดผลที่ชัดเจนเมื่อไหร่ นั้น ปัจจุบันในส่วนของพืชเกษตรที่เป็นวัตถุดิบหลัก อาทิ ยางพารา และปาล์ม มีจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ในส่วนพืชอื่นๆ ที่ต้องปลูกใหม่ พืชแต่ละชนิดจะใช้เวลาแตกต่างกันไป แต่เมื่อมีการเติบโตพืชแต่ละชนิดก็จะมีการโตที่หมุนเวียนกันไป ยืนยันว่าวัตถุดิบในการผลิตพลังงานไม่ขาดแน่นอน
สำหรับเป้าหมายของโครงการดังกล่าว ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่ำปีละ 10% ส่วนรายได้ต่อหัวจะไม่เท่ากัน เนื่องจากภาคการเกษตรแบ่งเป็นหลายส่วน อาทิ ชาวสวนทุเรียน เฉพาะภาคตะวันออกมีรายได้โดยรวมกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท ไม่รวมที่อื่น แต่ในกลุ่มของผู้ปลูกมมันสำปะหลัง ก็จะมีรายได้ที่ถูกลง แต่ต้องยอมรับว่ารายได้ของเกษตรกรในวันนี้ยังไม่มาก ซึ่งเป็นโจทย์ของกระทรวงที่ต้องเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรให้ได้ โดยปัจจุบันรัฐมีการอุดหนุนโครงการประกันรายได้พืชต่างๆ ที่เป็นการสร้างหลักประกันในกับเกษตรกรว่าจะมีรายได้ที่เกษตรกรควรจะได้ ไม่ได้คิดว่าจะดำเนินโครงการนี้ตลอดไป แต่ต้องการช่วยเกษตรกรให้ผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าสามารถช่วยได้กว่า 8 ล้านครอบครัว
นอกจากนี้ จะมีการเสริมเรื่องการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรด้วย โดยกระทรวงเกษตรได้ทำเอ็มโอยูกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยสั่งการให้ไปหามาตรการการที่รักษาผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกร และประหยัดงบประมาณของภาครัฐให้มากที่สุด ซึ่งเป็นการเสริมโครงการประกันรายได้อีกทางหนึ่ง ส่วนรูปแบบการจ่ายเบี้ยประกันอยู่ระหว่างการศึกษา ไม่ว่าอย่างไรภาคการเกษตรเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐต้องเข้าไปดูแลในส่วนนี้อยู่แล้ว
ในส่วนของการนำร่องโครงการในช่วงแรก อาจกำหนดให้ประกันข้าว เพราะเป็นพืชที่มีความเสี่ยง แต่ในระยะต่อไปได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตรไปศึกษาพืชกระท่อม โดยให้ไปดูว่าจะให้เป็นพืชทางเลือก หรือพืชเสริม เพราะกระท่อมสามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์ หรือสกัดสาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรได้ แต่จะนำไปปลูกแทรกกับพืชต่างๆ หรือจะหาพื้นที่ปลูกเฉพาะ ต้องศึกษาอีกครั้งหนึ่ง แต่จะผลักดันให้ปลูกพืชที่เข้ากับภูมิประเทศและภูมิอากาศต่อไป หากสำเร็จในคาดว่าการสกัดสารจากกระท่อมจะสร้างมูลค่าให้กับภาคเกษตรได้กว่าแสนล้านบาท ซึ่งในอนาคตต้องมีการควบคุมเพื่อไม่ให้ล้นตลาดต่อไป
ปี 2565 นี้ ภาคเกษตรไปในทิศทางที่ดี หลายๆ อย่างสามารถผลิตควบคุมคุณภาพได้ อาทิ สินค้าจากสุกร โดยไทยเป็นประเทศต้นๆ ของอาเซียนที่สามารถควบคุมการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ได้ ซึ่งทำให้ไทยสามารถส่งออกได้มากขึ้น และมีชื่อเสียงที่ดีในเรื่องของการควบคุมโรค ส่วนเรื่องทิศทางราคาสินค้าเกษตร เชื่อว่าจะเป็นไปตามกลไก และรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลคนทั้งประเทศต้องหามาตรการ เพื่อช่วยให้รายได้ของคนทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เรื่องของราคาสินค้าภายในประเทศมั่นใจว่ารัฐจะสามารถควบคุมไม่ให้ราคาเกินเลยจนถึงขั้นที่ผู้บริโภคเดือดร้อนแน่นอน
อีกเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนปี 2565 คือเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) หรือ BCG ซึ่งเป็นเทนรด์ของโลก เชื่อว่าทุกประเทศต้องช่วยกัน แม้กระทั่งเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ต้องนำ BCG ไปปรับใช้ด้วย
การขับเคลื่อนในเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) จะใช้วิธีร่างสารในการหารือกับประเทศสมาชิก ประเด็นที่จะมีการพูดคุย อาทิ การทำการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตร และการอำนวยความสะดวกในการค้าขายต่างแดน เป็นต้น เรื่องนี้จะรวมอยู่ในสารที่จะเสนอเป็นนโยบายในการประชุม เพื่อลงนามร่วมกันต่อไป เบื้องต้นทางกระทรวงได้ดำเนินการทำกรอบความร่วมมือเบื้องต้นไว้แล้ว
ความกังวลปี 2565 คือ ภาคการส่งออก เพราะปัญหาอุปสรรคจะทำให้สะดุด อาจมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนปีที่ผ่านมา ที่ในบางสินค้าตรวจพบเชื้อโควิด-19 เรื่องนี้มีการแก้ไข และเข้มงวด รวมถึงขอความร่วมมือจากเกษตรกรและภาคเอกชนในการตรวจสอบสินค้า เพราะเป็นผลประโยชน์โดยตรงของทั้งเกษตรกร ภาคเอกชน และประเทศชาติ รัฐจึงต้องเข้มงวด
ส่วนเรื่องการเมืองมองว่าไม่เป็นปัญหากับการขับเคลื่อนนโยบาย แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ตอบแทนใครไม่ได้
เรื่องที่ไม่กังวล คือ เรื่องน้ำ เพราะเมื่อเปรียบเทียบปริมาณต้นทุน ปี2564 มีมากกว่าปี 2563
แม้จะไม่น่ากังวลแต่ยังต้องปฏิบัติตามแผนต่อไป เพราะไม่ว่าน้ำจะมากหรือน้ำ ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทั้งนี้ มีการเพิ่มพื้นที่แหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็ก เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงได้มากขึ้น เรื่องนี้จะมีการทำข้อมูลเสนอสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบ ปี 2566 หรืองบประมาณจากเงินกู้ตามความจำเป็น โดยทางกระทรวงจะไปอธิบายผลได้ ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ของบกลางเพื่อมาสร้างแหล่งน้ำประมาณ 3 พันล้านบาท งบฯ เงินกู้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนการของงบฯ ปี 2566 จะต้องเป็นการพิจารณาของสำนักงานงบประมาณ และคณะกรรมาธิการอีกครั้งหนึ่ง
ภาคเกษตรปี 2565 อาจไม่มีคำนิยาม แต่สิ่งที่จะขับเคลื่อนคือ ‘คุณภาพ และความปลอดภัย’ สินค้าทุกชนิดไม่ว่าจะพืชหรือสัตว์ต้องมีความปลอดภัย และสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อให้เกิดขึ้นจริงคือ คือ การผลักดนให้มาตรฐานไทยเป็นมาตรฐานสากล หากผ่านมาตรฐานที่ไทยรับรองแล้วไม่ควรที่จะต้องไปตรวจสอบอีก แต่เรื่องนี้ยังต้องปรับปรุงมาตรฐานอีกพอสมควร เพราะปัจจุบันมาตรฐานสินค้าบางตัวที่ผ่านการรับรองแล้วเมื่อไปประเทศอื่น ยังต้องมีการรับรองจากประเทศต้นทางอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าการเดินหน้าเรื่องนี้จะยาก แต่ก็จะเดินหน้าต่อ โดยจะเริ่มจากสินค้าที่มีการส่งออกมากอย่างผลไม้ จากเดิมการที่ส่งสินค้าไปที่ประเทศญี่ปุ่น และยุโรป สินค้าไทยต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากประเทศนั้นๆ ถึงจะส่งเข้าประเทศต้นทางได้ ดังนั้น ในอนาคตจะต้องพัฒนาเพื่อให้ไทยมีมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและลดขั้นตอนในการส่งสินค้าต่อไป
ยืนยันว่าการดูแลเกษตรกรไม่ใช่ภาระ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำอยู่แล้ว