‘เศรษฐา ทวีสิน’ เปิดใจ พร้อมนั่งเก้าอี้นายกฯ

หมายเหตุ – นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์เครือ “มติชน” หลังเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) อย่างเป็นทางการ

ถือเป็น 1 ใน 3 คน เราก็ต้องให้เกียรติกับคณะกรรมการบริหารพรรค ภารกิจต่อจากนี้ไปจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม จะต้องเดินสายเผยแพร่นโยบายให้กับประชาชนทราบ เราได้เปิดนโยบายออกไปแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องการความกระจ่าง และลงในรายละเอียดให้ดีถือเป็นภารกิจสำคัญมากกว่าการที่จะไปเป็นห่วงว่าใครจะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรค พท.มีทั้งสิ้น 3 คน ซึ่งเราทั้ง 3 คน มีความรักมีความเคารพซึ่งกันและกัน มีความสนิทสนมพูดกันรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม คณะกรรมการบริหารพรรคประชุมตกลงจะไปออกที่ใครอีก 2 คนที่เหลือก็มีความยินดี ยืนยันว่าทั้ง 3 คนมีความพร้อม

⦁ เมื่อวันที่ 5 เมษายน คุณเศรษฐาใช้คำว่าสิ่งที่จะทำในฐานะผู้นำของประเทศคนต่อไป แต่ไม่ได้ใช้คำว่าถ้าเป็นนายกฯแล้วจะทำอะไร ทำไมจึงเลือกใช้คำดังกล่าว

เวลาที่สื่อสารกับมวลชน ผมสื่อสารในฐานะนายเศรษฐา ทวีสิน ผมเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องของความหนักแน่น เรื่องของความมั่นใจว่าการสื่อสารจะต้องชัดเจน แต่ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าพรรค พท.มีว่าที่แคนดิเดตอยู่ 3 คน ผมจึงต้องพูดอย่างที่บอกคือ ถ้าเป็นผู้นำประเทศ

Advertisement

⦁ ก่อนหน้านี้มีความกังวลตามที่คุณเศรษฐาเคยบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่รับตำแหน่งอะไรเลย คนเลยมองว่าถ้าตัดสินใจเลือกพรรค พท.โดยคุณเศรษฐา แต่กลับกลายเป็นว่าคุณเศรษฐาอาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และอาจจะออกจากวงการการเมืองไปเลย

อย่างไรผมก็ยังเป็นประธานที่ปรึกษาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อยู่ดี และเป็นสมาชิกของพรรค พท. สิ่งที่เคยพูดไปตอนนั้นยังไม่ได้ลงการเมืองเต็มตัว ในช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสลงไปพบปะกับประชาชน ในฐานะบุคคลเชื่อว่าเรามีวิธีการและแนวทางช่วยเหลือประชาชนได้หลายแนวทาง แต่การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นการแสดงความชัดเจนอย่างหนึ่ง แต่ขอเดินสายปราศรัยก่อน เคารพการตัดสินของประชาชน เราต้องฟังความคิดเห็น ช่วงลงพื้นที่ได้ยินได้ฟังหลายเรื่อง คนพูดเยอะเรื่องของเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องรายจ่ายเพิ่ม รายได้ลดคนอาจจะให้เครดิตผมเยอะในฐานะมีประสบการณ์การบริหารด้านเศรษฐกิจ แต่เรื่องสำคัญมากกว่าคือความเท่าเทียม เรื่องของสังคม การอยู่ร่วมกันโดยมีอิสระเสรีภาพภายใต้ขอบเขตของกฎหมายสากล ไม่ใช่เรื่องของเศรษฐกิจอย่างเดียว

Advertisement

⦁ ก่อนหน้านี้เคยกังวลการขึ้นเวทีปราศรัยกับคนจำนวนมาก ถึงเวลานี้ดูเหมือนเครื่องจะติดแล้ว เตรียมตัวอย่างไร

ยอมรับว่าวันนั้นกังวลจริงๆ เพราะผมเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง การจะก้าวจากบทบาทนักธุรกิจสู่การเมือง ไม่เคยต้องพูดปราศรัยกับคน 100 คน 1,000 คน ย่อมกังวลเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม การขึ้นเวทีช่วงหลังอาจสื่อสารออกมาได้พอสมควร เพราะเป็นความเชื่อจริงๆ ผมคิดว่าประเทศไทยเราประสบปัญหาอะไรอยู่ ต้องแก้ไขอย่างไร แต่วันนี้ก็ยังถือว่ายังทำได้ไม่ดี ถ้าเทียบกับพี่บางคน อย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นคนพูดแล้วน่าฟัง มีแฟนคลับคอยติดตาม ผมพูดมีคนจับเวลา 17 นาที แต่รู้สึกว่าเป็นชั่วโมง บอกตรงๆ ว่าอึดอัด เพราะไม่ใช่ตัวของตัวเอง แต่พอพูดออกไปก็เริ่มเข้าใจว่าหลายคนพูดเก่ง หรือสื่อสารได้เก่งนั้น ต้องมาจากภายในความเชื่อจริงๆ การพูดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 17 นาทีนั้น เตรียมตัวมานาน ถือว่าไม่ใช่การปราศรัย แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองร่วมกับพรรคเพื่อไทย ต้องมีเรื่องพูดจำนวนมาก

⦁ ช่วงลงพื้นที่มีชาวบ้านถามหรือไม่ว่าคุณเศรษฐาเป็นใคร

ไม่มี ส่วนใหญ่ก่อนลงพื้นที่จะไปพูดคุยกันมาก่อนแล้ว เขาคิดมาแล้วว่าพรรค พท.ส่งใครมาคุยก็คงจะแก้ไขปัญหาได้ เพราะคนที่มาเจอส่วนใหญ่ไม่ใช่คนอายุน้อยส่วนใหญ่วัยกลางคน ที่ผ่านมา 20 ปีได้ลงไปพูดคุยในนามของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ได้รับการยอมรับจากประชาชนมาโดยตลอด ฉะนั้นเรื่องนโยบายเชื่อว่าประชาชนเข้าใจว่าเราสามารถทำได้จริง บุคคลก็เป็นแค่บุคคลนำมาเสนอ แต่แก่นสารจริงๆ คือนโยบายของพรรคมากกว่า

⦁ วันนี้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะบอกกับประชาชนว่าคุณเศรษฐาคือใคร

ผมคือ 1 ในตัวแทนของพรรค พท. พรรคที่มีนโยบายคิดใหญ่ ทำเป็น และทำมาได้โดยตลอด ผมเป็นแค่ตัวแทนของพรรค มาช่วยประชาชนพ้นความยากจน พ้นความไม่เสมอภาคความไม่เท่าเทียม

⦁ คิดว่าชื่อคุณเศรษฐากับพรรค พท.จะสามารถเดินควบคู่กันไปได้แล้วใช่หรือไม่

แน่นอน เพราะเรามีจิตวิญญาณยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก ไม่มีอะไรต้องห่วง หวังว่าเมื่อประชาชนมองคนชื่อเศรษฐา คือการมองไปที่พรรค พท. เป็นหน้าที่ของผมเป็นความท้าทายต้องทำให้เกิดขึ้นได้ภายในเวลา 40 วันที่เหลือโดยประมาณ ไม่ใช่ว่าผมต้องไปบอกว่าผมอยู่พรรค พท. แต่ประชาชนจะต้องเห็นว่าผมอยู่พรรค พท. เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งจะทำให้ประชาชนตัดสินว่าพรรค พท.สมควรได้รับมาจากคนทั้งประเทศหรือไม่

⦁ วันนี้ถือว่ากระโดดเข้าสู่วงการเมืองเต็มตัวแล้ว กลัวการเมืองแบบไทยๆ หรือไม่

ถ้าบอกว่าไม่กลัวคงไม่จริง ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างทำในบทบาทใหม่ ต้องมีข้อควรระวัง บางอย่างพูดได้ในแวดวงธุรกิจ แต่วงการเมืองเราต้องระวัง ความชัดเจน ความเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป พูดอะไรตรงไปตรงมา หรือโผงผาง อาจต้องลดหย่อนลงไปบ้าง แต่ก็ต้องคงไว้ซึ่งแก่นสารของความเป็นตัวเอง และต้องสื่อสารให้ชัดเจน

⦁ ในฐานะนักธุรกิจหมื่นล้าน การได้ลงไปสัมผัสกับชาวนา มองตาแล้วเห็นอะไรของชาวบ้านบ้าง

มีหลายคนบอกว่าเป็นเศรษฐี เป็นคนมีเงินแล้วลงพื้นที่เป็นการสร้างภาพนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ ความตั้งใจของผมคือการไปรับฟังปัญหาข้อเท็จจริงของประชาชนคืออะไร ไม่ใช่แค่อ่านตามสื่อหรือพูดคุยแค่ในวงธุรกิจ การลงพื้นที่จริงก็จะได้เห็นข้อเท็จจริงและข้อมูลที่ได้มา มีอีกหลายเรื่องสามารถนำมาพูดคุย นำไปสู่การแก้ไขได้การมีโอกาสได้พบประชาชนสามารถโต้เถียงโต้แย้งและพูดคุยกัน ยอมรับว่าการลงพื้นที่ทำให้เราอิน เกิดการยอมรับมากขึ้น ถ้าตั้งใจจริงอยากจะเข้าใจปัญหา ถ้าอ่านเพียงแค่จากสื่ออย่างเดียวก็เป็นเพียงแค่วันเวย์ทำให้เราเห็นช่องทางแก้ไขปัญหาตรงจุดมากขึ้น ทั้งเรื่องการเปิดตลาด ช่องทางการค้าขาย ทำไมเราไม่คิดการใหญ่ เช่น ความมั่นคงทางด้านอาหาร เป็นจุดแข็งของไทย เปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมาการค้าขายกับต่างประเทศ ความสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศคนเป็นเอกอัครราชทูต เข้าใจดีว่าทุกคนอยากไปประจำประเทศเจริญ ไม่มีใครอยากไปประเทศแถบแอฟริกา เช่น ไนจีเรีย สหประชาชาติคาดว่าอีกไม่ถึง 10 ปี ไนจีเรียจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่เราไม่มีทูตที่มีความสามารถอยู่ที่นั่นเลย เพราะทุกคนไม่อยากไป คนเก่งก็อยากไปประเทศดีๆ ประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นถ้ามีทูตเก่งๆ ให้เคพีไอชัดเจน และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์เก่งๆ หรือทูตพาณิชย์ ไปเปิดตลาดค้าขาย เมื่อมีดีมานด์เข้ามา ก็มีซัพพลายขยายได้ เกษตรกรจะขยายภาคการผลิตได้

หรืออย่างเงิน ส.ส.ส. เงินภาษีบาป ไม่ใช่รณรงค์แค่อย่าดื่มสุรา อย่าสูบบุหรี่ ทำไมไม่คิดมองทางบวกบ้างเช่น รณรงค์ให้คนกลับมาดื่มนม อย่างสหรัฐ รณรงค์เอาดารามาดื่มนม เพื่อให้เด็กไทยได้ดื่มนมมากขึ้น ถ้าเปิดตลาดเหล่านี้ได้ เศรษฐกิจท้องถิ่นจะขยายตัวเราต้องการผู้นำลงมาเล่นเอง ไม่ใช่แค่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพียงอย่างเดียว ต้องให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ผู้นำนั่งหัวโต๊ะต้องวางตัวบุคคลไปทำงานได้ ไม่ต้องไปพูดถึงการเดินสายไปค้าขายกับประเทศใหญ่ๆ เพียงอย่างเดียว ใครไปประจำประเทศไม่มีคนอยากไป ให้รางวัลพิเศษ อยู่แค่ 2 ปีแล้วเปิดตลาดตรงนี้ได้ ขายข้าวมากขึ้น ขายนมผงมากขึ้น เป็นยุทธศาสตร์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในทางเศรษฐกิจต้องเดินควบคู่กันไปทั้งเศรษฐกิจจุลภาคและมหภาค หากไม่ได้ลงไปพบปะประชาชน ก็จะไม่เข้าใจในเรื่องพวกนี้

เรื่องปราศรัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การพบประชาชนก็จำเป็น อยากไปพบผู้นำความคิด ทั้งภาคธุรกิจ หอการค้า สภาอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่เช่นนั้นการไปปราศรัยอย่างเดียว เราจะไม่เข้าใจ เป็นการพูดอย่างเดียว ประชาชนไม่ได้โต้กลับมา แต่การได้รับฟังและถกเถียงอย่างมีเหตุผล ทำให้เกิดข้อมูลเกิดปัญญา จะทำให้มีทางออก

⦁ เป็นนายกฯแล้วจะยังคงลงพื้นที่ต่อหรือไม่

เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ต้องลงพื้นที่ให้ครบ 76 จังหวัด ไม่ใช่ไปแค่ตอนช่วงหกเดือนสุดท้าย ก่อนยุบสภาหรือช่วงหาเสียง นายกรัฐมนตรีจากพรรค พท.เราไม่ทอดทิ้งประชาชน ในอดีตก็ทำมาต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

⦁ มีการตั้งคำถามทำนองจะรอเพียงตำแหน่งบริหารอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงมาเล่นการเมืองเต็มตัวในฐานะ ส.ส.

ผมเชื่อว่าความถนัดเป็นเรื่องสำคัญ ประเทศเรามี 3 สถาบันหลักคือ สถาบันนิติบัญญัติหรือรัฐสภา สถาบันตุลาการและฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรี (ครม.) นำโดยนายกรัฐมนตรี ความชำนาญของผมอยู่ที่ฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ถือเป็นฝ่ายบริหาร วันนี้ผมเสนอตัวมาอยู่ฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ พรรค พท.ช่วงขึ้นเวทีจะเห็นได้ว่าเกือบมีพื้นที่ไม่พอ เพราะมีบุคคลทรงคุณภาพจำนวนมาก หลายท่านมีความสามารถด้านกฎหมาย

ในรัฐสภาผมไม่มีความชำนาญ จะไปกินโควต้าท่านเหล่านั้นทำไม หวังว่าไม่ใช่หากเราได้คะแนนเสียงน้อยไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วผมไปเป็น ส.ส. เก่งสู้หลายคนไม่ได้จะเข้าไปกินพื้นที่บุคคลเหล่านั้นทำไม ไปแย่งเค้าทำไม เพราะไปทำประโยชน์ได้ไม่เท่าหลายคน ต้องให้คนมีความรู้ความสามารถถูกทางได้ทำงาน ผมพยายามไม่อ้างรัฐธรรมนูญปี 2560 อนุญาตให้ผมไม่ต้องเป็น ส.ส. คือความคิดของผมคนเดียว เพราะชำนาญด้านการบริหาร แต่ถ้าเกิดพรรคเพื่อไทยโดยรวมจะเสนอแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส. ก็ยินดีร่วมโหวตให้ ในฐานะสมาชิกของพรรค เมื่อวันนี้เป็นอย่างนี้ ผมเชื่อแบบนี้ ยืนยันอีกครั้งว่าพร้อมทำตามกฎตามเสียงส่วนมาก เพราะจิตใจของผมยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก

⦁ หากไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไรต่อ

ก็ต้องแสดงความยินดีและช่วยเหลือต่อไป แล้วแต่ว่าพรรคจะมอบหมายอะไรมาให้

⦁ จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีบางกระทรวงหรือไม่

ยังไม่ได้คิดตรงนั้น เอาแค่ไปเผยแพร่นโยบายก่อนขอไปพูดคุย พบปะประชาชน นโยบายออกไปเมื่อวันที่5 เมษายน ยังมีรายละเอียดต้องชี้แจงอีกมาก เราจะคิดอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ รายละเอียดเป็นเรื่องสำคัญ รายละเอียดจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเพื่อมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

⦁ หลังจากเปิดตัวเลขในกระเป๋าเงินดิจิทัล หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าแจกเงินอีกแล้ว จะเอาเงินมาจากไหน

ปัจจุบันจีดีพีประเทศไทยโต 2.6% ขณะที่ประเทศอื่นเคยเป็นรองเรา ตอนนี้เขาโตขึ้น 5% เราย่ำแย่ เหมือนคนป่วยอยู่ห้องไอซียู หลายนโยบายของพรรค พท.จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้กลับมาทำมาหากินมีรายได้เหมาะสม ต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เงิน 10,000 บาท ประกอบด้วย 1.ระยะเวลาการใช้คือ 6 เดือน ร้านค้า เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมทั้งหลายจะได้มีการซื้อขายจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ 2.ระยะทางที่เราวางไว้คือ 4 กิโลเมตร ตระหนักว่าไม่อยากให้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในห้างใหญ่อย่างเดียว อยากให้ใช้ในชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่กระจุกตัวที่เดียว แต่เมื่อเราเปิดตัว มีคนบอกว่าบางพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีอะไรเลย อาจนำบล็อกเชนมาขีดเส้นรัศมีใหม่ได้

สำหรับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป มีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 5 แสนล้านต่อปี เราทำครั้งเดียว ไม่ได้ทำทุกปี ให้ใช้หมดภายใน 6 เดือน สมมุติพรรค พท.ได้รับเลือกเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล จะได้ใช้งบประมาณหลังจากตั้งรัฐบาล ต้องใช้เวลา สิ่งจะเกิดคือจะใส่เงินเข้าไปในกระเป๋า คนเริ่มไปจับจ่ายใช้สอย ได้แวตหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มมากขึ้น ภาษีนิติบุคคลจากห้างร้านก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นแสนล้าน การบริหารงบประมาณจะเกิดขึ้นอาจมาจากงบประมาณของอำนาจนายกรัฐมนตรี มีปีละแสนล้าน อาจนำมาใช้ประมาณ 30% หรือประมาณ 3 หมื่นล้าน หรืองบกลาง หากผมได้รับเลือกเข้ามา ไม่อยากใช้เงินนี้ เพราะหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น เราควรโฟกัสรายได้ที่จะมามากกว่า หรือกรณีบางคนบอกให้ไปตัดงบประมาณทหารมา ตรงนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องเข้าใจว่างบประมาณบางตัวยังต้องมีอยู่บ้าง

ส่วนการบริหารจัดการภาษี ปีหน้าเราจะจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น จากทีมงานเศรษฐกิจของพรรคศึกษามาการจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นมา 2 แสนล้าน ปัจจุบันมีคนยื่นภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่คนเสียภาษีจริงๆ มีประมาณ 3.9-4 ล้านคน เราใส่เงินไปในกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ เราหวังว่าระยะยาวจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น การใส่เงินไปในกระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ยืนยันว่าผมมาตรงนี้ไม่ได้มารังแกหรือกีดกันเจ้าสัว 10,000 บาท จะใช้ที่ใดก็ได้ จะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ จะซื้อปุ๋ยหรือเมล็ดพันธุ์ก็ได้ หรือหากคุณเป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย นำไปใช้หนี้ได้หรือไม่ เรายังไม่ได้คุยตรงนี้ จึงบอกว่าอยากเจอประชาชน อยากฟังความคิดเห็นเขา ไม่ใช่เอาความคิดเราเป็นหลักว่าต้องใช้อย่างเดียว ปัญหาใหญ่ของไทยอีกปัญหาคือหนี้ครัวเรือน หากเราทำให้หนี้เขาลดลง จะมีความสามารถจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ต้องเข้าใจเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

วันนี้เราไม่ได้พยายามจะมาบอกว่าเรารู้หมดทุกอย่าง แต่ถ้าระหว่างนี้หรือวันที่เราได้รับเลือกตั้งเข้ามา เราจะมีรายละเอียดนำไปสู่การอธิบายเพื่อนำประโยชน์สูงสุดมาสู่ประเทศชาติและประชาชนได้ เรามีนโยบายกระตุ้นอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรภายใน 4 ปี การเติมเงินให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท เชื่อว่าจีดีพีจะโตเฉลี่ยปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5% ขึ้นกับความสามารถจะสามารถดำเนินนโยบายได้ ผมเข้าใจความลำบากและความยาก เพราะหลายระบบต้องอธิบายและขออนุมัติ เพื่อจะทำให้ได้ แต่เราตั้งใจจริง

⦁ นายกรัฐมนตรีก็ติงมาว่าจะทำได้จริงหรือไม่เพราะงบประมาณไม่ใช่ว่าจะดึงมาใช้ได้ทีเดียว ต้องผ่านรัฐสภา ที่สำคัญคือข้าราชการ

อย่ามองข้าราชการเป็นศัตรู มองข้าราชการเป็นทีมเวิร์ก ข้าราชการเป็นเสาหลักหนึ่งช่วยผลักดันประเทศ เชื่อว่าข้าราชการอยากเห็นประเทศเจริญเติบโตไปข้างหน้ามีเยอะมาก เป็นหน้าที่ของผู้นำหรือทีมของผู้นำที่ทำให้เขาเข้าใจนโยบายสามารถทำได้จริง เขาต้องเข้ามาอยู่ในทีมและเดินต่อไปด้วยกันให้ได้ ผมอาจจะมองโลกสวย แต่เชื่อว่าหากเราอุทิศเวลาทั้งหมดให้การทำงาน เชื่อว่าจะโน้มน้าวหลายๆ ภาคส่วนได้ อย่างไรก็ตามเราพร้อมถูกตรวจสอบ เป็นกติกาของประเทศต้องให้ความเคารพ

⦁ พรรคคู่แข่งก็มีไม้เด็ดว่าหากคุณเศรษฐาเข้ามาเต็มตัว ก็พร้อมเปิดข้อมูลในสมัยทำธุรกิจ

ผมไม่ได้แข่งขันกับพรรคอื่นเลย ผมแข่งขันกับความยากจน ความไม่เสมอภาค ความเหลื่อมล้ำ หากมีข้อสงสัย ผมจะชี้แจงระหว่างทาง วันนี้ผมถือว่าภายใน 40 วันที่เหลืออยู่ ผมจะเดินหน้าเผยแพร่นโยบายของพรรค พท. ปรับปรุงนโยบายเพื่อให้โดนใจประชาชนมากที่สุด

⦁ วิตกหรือไม่ว่าอาจจะโดนกรณีเหมือนนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

(นายเศรษฐานิ่งไปสักครู่ก่อนตอบว่า) หากจะบอกว่าไม่วิตกก็คงไม่จริง เพราะเพื่อนผมก็ถามว่าเข้ามาตรงนี้ไม่กลัวหรือ แต่ต้องชั่งน้ำหนักอยู่แล้วว่าช่วงเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมาเรามีความสุขกับสิ่งที่เราได้อยู่ ได้เป็น ได้สัมผัสหรือไม่ ไม่ใช่แค่มานั่งคุยกันในวงปาร์ตี้ติรัฐบาล แต่ไม่เคยออกมาทำอะไรเลย สำหรับผมชั่งใจมาแล้ว พร้อมต่อการตรวจสอบไม่อยากเห็นพรรคคู่แข่งเป็นศัตรู ไม่อยากเห็นเขาใช้วิธีการใดๆ หากรัฐบาลเก่าทำอะไรไว้ดีอยู่แล้ว เมื่อพรรค พท.ได้รับเลือกตั้ง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องเปลี่ยน เรายึดพี่น้องประชาชนเป็นหลัก

⦁ ครอบครัวพร้อมสนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่

เราเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันแล้ว ผมเชื่อว่าเราเคารพการตัดสินใจของทุกคน คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร

⦁ พรรค พท.โดนอำนาจที่มองไม่เห็น และอำนาจกองทัพมาโดยตลอด หากได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นรัฐบาลจะบริหารอำนาจอย่างไร เพื่อไม่ให้โดนเหมือนในอดีตอีกครั้ง

เราก็ยืนยันตามเจตนารมณ์เดิมของเรา ยึดโยงประชาชนเป็นหลัก ทำเรื่องของเศรษฐกิจให้ดี ปราบปรามเรื่องคอร์รัปชั่น ทำในสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน เหมือนที่ผมพูดอยู่เสมอว่าไม่อยากกลัวผี หากกลัวตรงนี้ก็ไม่ควรเข้ามาดีกว่า

⦁ พร้อมขึ้นเวทีดีเบตหรือไม่

พร้อมอยู่แล้ว แต่ก็แล้วแต่ทางพรรคจะจัดมาว่าผมเหมาะสมอย่างไร แล้วจัดตามสำคัญ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image