พล.ต.อ.ธัชชัย ถือดาบยูเอ็น ลั่นปราบแก๊งคอลให้หมดปี68 (ชมคลิป)

หมายเหตุ – พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ให้เป็นหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชน” ถึงแนวทางการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์โยงการค้ามนุษย์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

มีเฟคนิวส์เชิงลบรัฐบาลไทยตลอด จากกรณีนักแสดงหนุ่มจีน “หวังซิง” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมียวดี เมียนมา บอกว่าทำให้ทางการจีนส่งตัวแทนมาไทยบ้าง ล่าสุดบอกมีสู้รบกันในเมียนมา จีนส่งทหารเข้ามา เพราะทนไม่ไหวที่รัฐบาลไทยไม่ได้ทำอะไร หรือรัฐบาลจีนส่งคนมาเอาข้อมูลข้าราชการเกี่ยวข้องร่วมทุจริต หาว่าเมืองไทยไม่ปลอดภัย หรือข่าว นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ลงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ข่าวที่ออกมาเป็นเฟคนิวส์เชิงลบหมด ดังนั้นต้องประเมินเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เพราะส่งผลภาพลักษณ์ไทยไปทั่วโลก ทั้งที่ไทยไม่มีการตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กรณีหวังซิงกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย เพราะคนจีนดูข่าว หวังซิงเป็นไวรัล ถึงหมื่นล้านวิว รัฐบาลจีนจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้อง ส่งเจ้าหน้าที่มา ผมได้เสนอเจ้าหน้าที่จีนไปให้มีการตั้งศูนย์ประสานงานร่วมกัน ผมบอกว่าผมอยากปราบ แต่ผมไม่มีข้อมูลในฝั่งโน้นเลย ทราบว่าคนจีนหมดเลย เป็นปัญหาระหว่างจีนกับเมียนมา ไม่ได้เป็นปัญหาไทย มีบางคนบอกว่ามีคนจีนโดนหลอกถึง 3 แสนคนอยู่ที่นั่น

สิ่งที่คนข้างนอกมองเข้ามาประเทศไทย เวลาคนชาติอื่นโดนหลอกมีทั้งจีน, ฮ่องกง, เคนยา, เอธิโอเปีย และอินโดนีเซีย แล้วใช้ไทยเป็นทางผ่าน ต้องใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมงไปถึงแม่สอด จ.ตาก คนข้างนอกมองว่า ไปได้อย่างไร มีขบวนการหรือไม่

ADVERTISMENT

ซึ่งมองได้ 2 อย่าง คือ 1.ถูกหลอกว่าจะได้ไปทํางานที่ได้เงินเดือนสูงแต่พอข้ามไปแล้วถึงจะรู้ว่าไปทํางานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การข้ามไปก็เป็นการข้ามแบบผิดกฎหมาย 2.สมัครใจไป พวกนี้เวลาเจอเจ้าหน้าที่จะบอกมาเที่ยว เขาไม่ได้ให้ความร่วมมืออะไรกับเราว่าเขาถูกหลอก และเรื่องรถที่มารับไป ข้อเท็จจริง คือไม่มีทางตรวจสอบเจอ ถ้าเจ้าตัวไม่บอกว่าถูกหลอกมา ถ้าเจ้าตัวบอกว่ามาเที่ยวอย่างนี้ เราแก้ปัญหาไม่ได้

แต่สิ่งที่ผมคิดว่าตอนนี้ที่ทําอยู่ที่ อ.แม่สอด คือตรวจสอบคนที่เดินทางเข้าไป ให้เขารู้ว่าการข้ามไปฝั่งโน้น ต้องมีแผนการเดินทาง มีแผนการพักโรงแรม ใช้มาตรการของ ตม.เข้ามาจับใช้ในประเทศ ในหน่วยงานความมั่นคงทหาร ตำรวจ และปกครอง ซักถามคนต่างชาติที่เดินทางเข้าพื้นที่อําเภอแม่สอด

ADVERTISMENT

จากการที่ทํามาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม แก๊งขบวนการเหล่านี้ใช้ช่องทางนี้ในการเดินทาง ล่าสุดพบคนญี่ปุ่น 4 คนเดินทางเข้ามา มีแผนการท่องเที่ยวชัดเจนทุกอย่าง แต่เราให้มีคนติดตามไปที่โรงแรม ก็มีพักจริง แต่ท้ายที่สุด มีการแอบข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

เพราะฉะนั้นมิติแรกที่จะต้องทำคือเข้มงวดแล้วก็ต้องมีมาตรการติดตามพวกนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับต้นทาง ถ้าวันนั้นมีข้อมูลจากญี่ปุ่น สามารถดําเนินคดีได้ ต่อมารู้ว่าหนึ่งในนั้นมีหมายจับที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นไม่มีข้อมูล เพราะข้อมูลอยู่ที่ญี่ปุ่น ทางโน้นก็ต้องไปควานหาข้อมูลเหมือนกัน

ต้องสกัดกั้นไม่ให้คนพวกนี้ลักลอบใช้เส้นทางชายแดนเข้าไปและต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่รับประโยชน์ ผมจะสั่งการลงไปให้กวดขันการตรวจสอบโรงแรมกับเรื่องรถที่ใช้เป็นยานพาหนะ รวมทั้งความเข้มงวดในแนวชายแดน ตรงนี้ก็ทําอยู่แล้วแต่จะเพิ่มความเข้มข้นอีก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่บริเวณแนวชายแดน ไม่เฉพาะที่ฝั่งแม่สอดทั้งในลาวและกัมพูชา เราต้องปราบปรามให้หมด ที่เคยทำคือ “ยุทธการระเบิดสะพานโจร” พวกที่หลอกคนต่างชาติพวกเดียวกันขณะเดียวกันหลอกคนไทยด้วย บางแก๊งก็หลอกคนไทยโดยตรง โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาหลอกคนไทยโดยตรง ส่งผลกระทบต่อไทยอย่างมากมหาศาล เพราะฉะนั้นต้องปราบปรามให้หมดในปีนี้ มันรอไม่ได้ เพราะวันๆ หนึ่งคนไทยถูกหลอกเกือบพันคน

มาตรการทางการต่างประเทศเป็นขั้นตอนที่ต้องทํา ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยผ่านทั้งการประสานงานชายแดน หรือการพูดคุยผ่านระดับรัฐแต่จะต้องถึงขนาดต้องใช้กําลังต่อสู้กันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทางฝ่ายความมั่นคงคงมีการหารือกันท้ายที่สุด

 

ในฐานะหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ผมมีหน้าที่รับผิดชอบปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ในภูมิภาค ผมจะใช้บทบาทตัวเอง ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศต่างๆ อย่างประเทศเพื่อนบ้าน ปราบได้ ไม่น่าเกินปีมันต้องหมดแน่ๆ

ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่ง่ายที่สุดในการติดตามสืบสวนเพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็น “ดิจิทัลฟุตพรินต์” หมดเลยไม่ได้ปิดบังตัวตน ไม่ได้ปิดบังเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นบัญชีม้า บัญชีธนาคาร ต้องใช้จดทะเบียนซิม เส้นทางการเงินไปให้เห็นผ่านคริปโทฯ ไปตรงจุดไหนของประเทศเพื่อนบ้าน

แต่ที่ยากคือการใช้ช่องว่างกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้อยู่ในไทย เช่นเดียวกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของประเทศต่างๆ ก็อยู่ในประเทศอื่น ถ้ามองดีๆ แก๊งคอลที่ใช้หลอกคนไทย จะใช้ “อินฟราสตรัคเจอร์” ของคนไทยทั้งหมด ทั้งซิม สัญญาณโทรศัพท์ แม้แต่บัญชีธนาคารก็เป็นธนาคารของไทยทั้งหมด คนที่หลอกคนไทยก็เป็นคนไทยทั้งหมด ส่วนคนจีนแค่เจ้าของ แล้วมีประเทศนั้นคอยให้ความคุ้มครอง

ฉะนั้น 3 ส่วนนี้ ที่เป็น “อินฟราสตรัคเจอร์” ในประเทศไทย ถ้าเสาใดเสาหนึ่งล้ม แก๊งคอลก็ทํางานไม่ได้ ถ้าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ไทยก็ต้องใช้สัญญาณโทรศัพท์ต่างประเทศโทรเข้ามา คนไทยไม่รับสายอยู่แล้ว หรือถ้าจะใช้ WiFi Calling โทรมา ยังไงก็ต้องใช้ซิมไทย ถ้าใช้ของต่างประเทศหมดต้นทุน การโกงทําได้ยาก ถ้าเป็นบัญชีธนาคารไทย ถ้าเราตัดไม่ให้บัญชีธนาคารไทยหลอกเสร็จโอนเงินไปต่างประเทศ เป็นไปไม่ได้เพราะคนไทยไม่โอนแน่นอนไปต่างประเทศยังไงก็ไม่โอน

เพราะฉะนั้นถ้าเราตัดบัญชีในไทยของแก๊งคอลได้ก็จบ หรือว่าถ้าคนไทยไม่ไปขายชาติ ข้ามไปฝั่งนู้นมาหลอกคนไทย แถมยังเอ็นจอยด่าคนไทยด้วยกันเพราะฉะนั้น ถ้าเราล้มเสาใดเสาหนึ่งล้มได้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะจบ นั้นคือสิ่งที่ผมจะขับเคลื่อน

ผมกําลังรณรงค์ตามล่าคนไทยขายชาติ ต่อไปจะไม่ให้เรียก ซิมผี บัญชีม้า แต่จะเรียก ซิมขายชาติ บัญชีขายชาติ เป็นเรื่อง ความมั่นคงของชาติ เงินที่หลอกคนไทยมาไปอยู่มือคนต่างชาติทั้งหมด คนไทยได้เป็นนายหน้าได้ 10% แต่เงินเป็นแสนๆ ล้าน ผ่านคริปโทฯ มีข้อมูลว่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท เงินอยู่ที่ต่างชาติหมดเลย

สำหรับการตัดไฟนั้นเคยทำมาเมื่อปี 2566 ฝั่งโน้นมีที่ปั่นไฟ ถ้าผมไปตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่มีผู้ประกอบการลักลอบส่งเหมือนเดิม ผมคิดว่า 2 ส่วน สัญญาโทรศัพท์กับบัญชีธนาคารต้องไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐคิด แต่คนที่ต้องคิดก็คือตัวของผู้ให้บริการกับธนาคาร ยกตัวอย่างเราไปจับซิมล่าสุด 280,000 กว่าซิมบ้าง 800,000 ซิม 500,000 ซิม คําถามคือว่า คนไปลงทะเบียนได้ยังไง เป็นแสนๆ ซิมมันต้องระบบอะไร และต้องมอนิเตอร์ ระบบของผู้ให้บริการจะไม่รู้เลยหรือว่าคนนี้ขายไปเป็นแสนซิม ผู้ให้บริหารต้องมีข้อมูลคนเนี่ยถือครองพันซิม หรือร้อยซิม ถ้าเรามาดูจริงๆ จะตอบได้ไหมว่าคนไหนถือครองกี่ซิม หรือแม้กระทั่งเรื่องของการลงทะเบียนมั่ว พบว่าคนร้ายใช้ซิมไทยลงทะเบียนมั่ว 70-80% คือลงทะเบียนอย่างไรก็ได้

หน่วยงานของรัฐต้องไปบอกเจ้าของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องรู้ ต้องทํา หรือสัญญาณของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ที่อยู่ใช้เสาสัญญาณ ก็มาจากผู้ประกอบการทั้งหมดของไทย คือ สมมุติถ้าทุกคนรู้ว่านี่คือความมั่นคงของชาติ คุณต้องไปหามาตรการเรื่องประเมินความเสี่ยง ประกันความเสี่ยง ทํายังไงให้ทุกอย่างสามารถควบคุมติดตามได้ เพราะมันมาจากประเทศไทยทั้งหมดเลย หรือว่าอย่างสาขาธนาคารที่มีการเปิดบัญชีม้ามากที่สุดในประเทศ

คําถามคือว่าผู้จัดการสาขานั้นจะไม่รู้หรือ ส่วนใหญ่เป็นสาขาอยู่ตามแนวชายแดน แต่ในกรุงเทพฯก็มี แต่ประเด็นคือเขาไม่รู้เลยหรือว่าเป็นบัญชีม้า เพราะบัญชีม้าเป็นบัญชีที่เป็นบุคลิกมันเอง
มีการหยอดเงิน เคลื่อนไหวของเงินที่รวดเร็ว เจ้าของไม่มีอาชีพที่มีเป็นหลักแหล่ง มีเงินเป็นแสนเป็นล้านในเวลาแป๊บเดียว เสร็จแล้วก็มาเปิดใหม่ ปิดไป 4-5 วัน แล้วก็เปิดใหม่ ผู้จัดการธนาคารจะไม่รู้จริงๆ หรือ

คดีอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกี่ยว กสทช., ธนาคารประเทศไทย ต้องมาหารือร่วมกันหมด ผมเลยตั้งวอร์รูมขึ้นมาติดตามสถานการณ์แล้วทําทุกวัน เมื่อมีคดีเข้ามาคัดแยกคดีแล้วก็ดูเส้นเงิน ดําเนินคดีกลุ่มองค์กรอาชญากรรม จะมีการประเมินและวิเคราะห์ ติดตามทุกๆ วัน ทำให้แก้ปัญหารวดเร็วมีเอกภาพ แต่ที่ผ่านมามีการแบ่งให้หลายหน่วยทำแล้ว แต่ครั้งนี้มีความเป็นหนึ่งเดียว ผมนั่งเป็นหัวโต๊ะทุกวัน และคิดว่าปี 2568 สถานการณ์จัดอันดับเทียร์ของไทยดีขึ้น

สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ได้เชิญผมเป็นหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ในหนังสือเชิญ เขามั่นใจในความเป็นผู้นําของเรา มั่นใจในความเชี่ยวชาญ เขายังพูดถึงเรื่องของ เทียร์ การปราบปรามว่าจะส่งผลดีต่อไทย ส่งผลดีในแง่ที่ว่ารัฐบาลเองก็จริงใจที่จะแก้ปัญหา เรื่องหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจนี้ ผมว่าสําคัญมากก็ยังไม่เคยมีคนไทย หรือตํารวจไทยเคยทําเรื่องนี้มาก่อน ปกติก็จะเป็นต่างชาติทํา

ตอนนี้ผมกังวลฝั่งเมียวดี เมียนมา เป็นฝั่งที่หลอกคนต่างชาติเป็นหลัก แต่ว่ามันส่งผลกับไทย เรื่องเส้นทางผ่าน อย่างทางการจีนเข้ามาไทยก็ช่วยเหลือเพราะว่าเขาไม่มีแผ่นดินติดกับทางเมียวดี ยังไงจีนต้องผ่านช่องทางนี้ในการสื่อสาร ติดตามต่างๆ แต่ถ้าเทียบฝั่งเมียวดีกับกัมพูชา ฝั่งกัมพูชามีความซับซ้อนในมิติต่างๆ มากกว่า มีการขยับไปเมืองพะย่าโต้นซู ประเทศเมียนมา เพราะเราเข้มงวดมากขึ้น และแก๊งที่ตั้งที่เมียวดี เมียนมา ก็ไปตั้งที่กัมพูชาด้วยเป็นพวกเดียวกัน ธุรกิจมันไปลาวด้วยมีบริเวณสามเหลี่ยมทองคํา

ตอนนี้ผมได้พูดคุยหมดแล้ว ทั้งลาว เมียนมา กัมพูชา ใช้มิติระหว่างประเทศมากขึ้น ต้องขับเคลื่อนผ่านกระทรวงการต่างประเทศส่วนหนึ่ง เนื่องจากว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีทั่วโลก ต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนี้คนทั่วโลกถูกหลอก แล้วพอตั้งอยู่ประเทศอื่นปั๊บ การที่เราไปติดตาม ขอความร่วมมือประเทศนั้นอาจไม่ใช่ง่าย เพราะไม่ได้จัดอยู่ในลำดับความสำคัญของเขา ถ้าจับโทษเล็กน้อยแค่หลบหนี

เพราะฉะนั้นผมอาศัยช่องว่างด้วยการเปลี่ยนวิธีการมองใหม่ จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นค้ามนุษย์ จะทําให้ประเทศต่างๆ มองเป็นภาพเดียวกันหมดเลยว่า เพราะค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมโลกที่ทุกคนต่อต้าน เป็นอาชญากรรมที่ทุกประเทศในโลกมองว่าผิดกฎหมายหมด ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองจะทําให้การทํางานกลไกประเทศต่างๆ ทั่วโลกเดินทันทีเลย ให้เป็นอาชญากรรมร่วมกัน อย่างกรณีคนไทยถูกกักขัง บังคับ ให้ทํางานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นความผิดค้ามนุษย์ ผิดกฎหมายกัมพูชาด้วย ไม่ได้ผิดเฉพาะกฎหมายไทย

และเนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุตามโรงพยาบาลขององค์กรท้องถิ่น, อบต. สมาคมผู้สูงอายุ

ผมไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตลาด หลักทรัพย์ รองผู้ว่าแบงก์ชาติ เลขาธิการ กลต. กสทช. หน่วยงานหลักๆ แต่สิ่งที่จะต้องทําคือเรื่องข้อมูล ทํายังไงให้ข้อมูลของตํารวจสามารถเข้าถึงแล้วก็ทําความเข้าใจกันกับหน่วยงาน เหล่านี้ได้ มองภาพออกว่าเป็นปัญหาของชาติ จึงอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า ตํารวจจะเป็นหน่วยหลักในการปราบปรามเรื่องนี้ให้ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image