สุจิตต์ กางหลักฐาน ‘อโยธยา’ ตั้งต้นความเป็นไทย แนะเลิกคิด ‘อะไรไทยๆ เริ่มที่สุโขทัย’
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่มิวเซียมสยาม ท่าเตียน กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์มติชน และเครือข่ายพันธมิตรร่วมกันจัด Knowledge Bookfair 2024 เทศกาล ‘อ่านเต็มอิ่ม’ โดยจะมีไปถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวที ‘Sujit’s Talk : ไทยๆ เริ่มในอโยธยา (คนไทย, ภาษาไทย, อักษรไทย)’ โดย นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม
ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนจนเต็มพื้นที่ อีกทั้งมีบุคคลในแวดวงวิขาการเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์, ศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
นายสุจิตต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยบังคับให้คนเชื่อตามกันมาว่า ‘อะไรไทยๆ ตัองเริ่มที่สุโขทัย’ ซึ่งเป็นการบีบบังคับจากประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเริ่มต้นที่สุโขทัย แม้แต่ชนมครก จะเริ่มต้นที่อื่นไม่ได้ ใครคิดต่าง หรือตั้งข้อสงสัยจะถูกเหยียดหยาม ถูกด่าทออย่างรุนแรง ที่สำคัญคือ โดนยัดข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกตีตราและขังลืมจากสังคม ดังเช่นที่ จิตร ภูมิศักดิ์ต้องเผชิญ ถามว่ามีคนเคยคิดเห็นแย้งหรือไม่ คำตอบคือ มี แต่ไม่กล้า จึงตัองทำนิ่งเฉย หรือพูดคุยกันเองในกลุ่มคนสนิท
“ปัญหาเกิด เพราะมีคนท้าทาย ตั้งคำถามว่า จริงหรือ ที่สุโขทัยคือราชธานีแห่งแรกตามประวัติศาตร์กระแสหลัก เมื่อ พ.ศ.2507 หรือราว 60 ปีก่อน คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร จัดสัมมนาหัวข้อ บรรพบุรุษของไทยเป็นใคร ตอนนั้นผมเรียนปี 1 ถูกเกณฑ์ไปฟังที่ท้องพระโรง วังท่าพระ เหตุที่เกิดความสงสัยในครั้งนั้น เพราะเกิดนักโบราณคดีไทย ร่วมกับนักโบราณคดีเกนมาร์ก ขุดค้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พบโครงกระดูกมนุษย์อายุราว 3,000 ปี คนสงสัยกันว่า เขาคือใคร ไหนว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต” นายสุจิตต์ กล่าว
นายสุจิตต์ กล่าวว่า ตนไม่ใช่นักวิชาการ ไม่เคยรับราชการ ทำงานเป็นสื่อ เป็น Journalist มาตลอด พบว่าความสงสัยนี้สืบเนื่องมานาน แต่ไม่มีใครกล้าพูดดัง เพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไป ไม่มีหลักฐานสนับสนุนประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก ต่อมา ราวปี 2527 คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ฯ ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี ขอไปน่านเจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าคนไทยอยู่ตรงไหน จีนก็เปิดให้เข้าไปทางยูนยาน โดยเชิญตนไปในฐานะเจอนัลลิสต์ (สื่อมวลชน) ร่วมคณะไปคุนหมิง ตนเชื่อว่าขณะนั้น จีนก็ไม่พอใจว่า ประวัติศาสตร์ไทยบอกจีนไล่คนไทยลงมาเพราะไม่มีหลักฐาน
“ศาสตราจารย์ศรีศักรเขียนอธิบายไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2514 ว่าคนไทยไม่เกี่ยวกับอัลไต น่านเจ้า สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก แต่โดยทั่วไปไม่มีใครเอาด้วย เพราะอยากให้คนไทยมาจากเอาไต จึงไม่เลิกแนวคิดนี้
แท้จริงแล้ว ความเป็นไทย เริ่มในอโยธยา ไม่ใช่สุโขทัย ศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เชื่อจารึกหลัก 1 สร้างโดยรัชกาลที่ 4 ระบบคิดเรื่องราชธานี ยังไม่มี แต่เป็นเมืองใครเมืองมัน บ้านใครบ้านมัน โดยเกี่ยวดองกันตามระบบเครือญาติ เครือข่ายการค้า
กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ซึ่งแปลว่า เบ็ดเตล็ด มีขึ้นตั้งแต่ 115 ปีก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา ก่อนมีสุโขทัย เนื้อหามีกฎหมายก็สะท้อนสังคมที่มีพัฒนาการก้าวหน้ามาก พ้นจากความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนมานานแล้ว โดยในส่วนท้าย ระบุศักราชที่ตรงกับ พ.ศ.1778 กล่าวถึงความเชื่อเรื่องผี ว่าทำผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ต้องเสียผี” นายสุจิตต์ กล่าว
นายสุจิตต์ กล่าวว่า อโยธยา เป็นศูนย์กลางของขอม และสยามรวมกัน ที่สำคัญคือ รับพุทธศาสนาเถรวาทจากลังกาผ่านมอญและพม่า ชื่อเต็มของอโยธยาคือ ‘อโยธยาศรีรามเทพนคร’
“เมื่อรับความเชื่อจากลังกามาผสมผสาน สิ่งที่ตามมาด้วยคือ ภาษาบาลีที่เฟื่องฟูมาก พระสงฆ์จากสุโขทัยยังลงมาเรียนพุทธศาสนาเถรวาทที่อโยธยา ถ้าบวชเรียนแล้วสึกออกมาจะได้สิทธิพิเศษเป็นขุนนางได้ ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนสถานะยาก จนถึงไม่มีเลย เพราะฉะนั้นขอมจากละโว้จึงกลายตัวเองเป็นไทย แล้วชื่อขอมไปปรากฏในเขมร” นายสุจิตต์ กล่าว
จากนั้น นายสุจิตต์ กล่าวถึงประเด็นอักษรไทย ว่าอักขรวิธีเก่าที่สุด เขียนบนสมุดข่อยยุคอยุธยา จากนั้นจึงมีการปรับปรุงเป็นตัวเหลี่ยมเพื่อจารึกลงบนหิน
“เดิมทีภาษาเขมรและไทยเป็นภาษาราชการ ต่อมา ในรัชกาลเจ้านครอินทร์ ไทยเป็นมหาอำนาจ ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ก่อนหน้านั้นยังก้ำกึ่ง” นายสุจิตต์ กล่าว
นายสุจิตต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาอโยธยาถูกใส่ร้าย โดยหลักการ นักโบราณคดีเชื่อว่ามีอโยธยา แต่ค้านว่า เป็นเพียงเมืองทางศาสนา ไม่มีอำนาจทางการเมือง ตนยัง งง ว่าหมายถึงอะไร ขณะที่ศาสตราจารย์ มจ. สุภัทรดิศ ดิศกุล อดีตคณบดีคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ไม่ได้ทรงค้านในแง่การมีอยู่ของอโยธยา แต่ทรงค้านในแง่ประวัติศาสตร์ศิลปะเท่านั้น
“ถ้ามีอโยธยาก่อนสุโขทัย ต้องริ้อประวัติศาสตร์ใหม่หมด ประวัติศาสตร์กระแสหลักก็พยายามทำให้อโยธยาหายไป บ้างก็ไม่อ่านหนังสือ ไม่ค้นคว้า แล้วมาบอกว่า ไม่มี ทั้งที่เขารู้กันเป็นร้อยปีแล้ว รัชกาลที่ 5 ทรงเปิดข้อมูลเรื่องอโยธยาตั้งแต่ 117 ปีที่แล้ว ปรากฏในพระราชดำรัสเปิดโบราณคดีสโมสร ว่าอโยธยาเป็นเมืองเก่าของอยุธยา ผู้ที่นำมาพูดต่อคือกลุ่มอาจารย์มานิต วัลลิโภดม , ธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม โดยนำเสนอในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์
ล่าสุด รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง ต่อยอดจากศาสตราจารย์ศรีศักร ศึกษาค้นคว้า เขียนต้นฉบับออริจินอลของตัวเอง ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มติชนเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คส์ชื่อ อโยธยาเก่ากว่าสุโขทัย” นายสุจิตต์กล่าว
จากนั้น นายสุจิตต์ ชวนให้ผู้เข้าฟังร่วมเปิดแผนที่ ‘โซเมีย’ ที่ทีมงานสำนักพิมพ์มติชนแจกล่วงหน้า โดยกล่าวว่า ตนได้มาจาก ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ขอให้สังเกตสีแดงใจกลางแผนที่ นั่นคือ โซเมีย (Zomia) บริเวณที่สูงอันกว้างใหญ่แห่งเอเชีย ประกอบด้วยทิวเขาสลับกับที่ราบลุ่มน้ำหลายขนาดตั้งแต่จีนตอนใต้ลงไปครอบคลุมถึงไทย
“อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนบอกว่า ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์คือประวัติศาสตร์กระแสรอง ทั้งที่มันคือกระแสหลัก แต่ไทยไม่สนใจ ทั้งที่เชื้อชาติไทย 100 % ไม่มีจริง แต่กลับดูถูกชาติพันธุ์อื่นที่เป็นกระแสหลักตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์
ไทยคือชื่อสมมติที่เคลื่อนไหวไปๆมาๆ ทุกเส้นทาง ไม่ใช่ทิศทางเดียว แต่ประวัติศาสตร์ไทยชอบบอกว่าเคลื่อนจากเหนือลงใต้ ซึ่งไม่จริง เมื่อเคลื่อนไหวไปแล้วมีแนวโน้มลงมาทางอ่าวไทย ลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วยการค้าทางทะเล” นายสุจิตต์กล่าว
นายสุจิตต์ กล่าวด้วยว่า ตนขอให้นักวิชาการอย่าหลงทาง ว่า ‘เสียน’ หรือ ‘สยาม’ มีแต่ในเอกสารจีน เพราะมีมากกว่านั้น มีทั่วไปหมด สำหรับภาพรวมกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได เคลื่อนไหวในขอบเขตโซเมียจากแยงซีถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเคลื่อนไหวเมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว ราว พ.ศ.1 พิจารณาจากการกระจายของเครื่องมือสำริดและพิธีกรรมการฝังศพครั้งที่ 2 ซึ่งไม่ใช่ประเพณีพื้นเมืองของลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่มาจากโซเมียตอนบน