ป๋วย อุ่นใจ คุยลึก ‘10 สัตว์เปลี่ยนโลก’ เม้าท์เรื่องว้าวเขย่าวงการวิทย์

ป๋วย อุ่นใจ คุยลึก ‘10 สัตว์เปลี่ยนโลก’ เม้าท์เรื่องว้าวเขย่าวงการวิทย์

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยรัฐ (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22’ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ บูธสำนักพิมพ์มติชน J47 พบว่ามีผู้ทยอยเดินทางเลือกซื้อหนังสือภายในบูธอย่างต่อเนื่อง ทั้งหนังสือการเมือง ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา หนังสือแปล และวรรณกรรม อีกทั้งยังมีผู้สนใจของพรีเมียมจากลายเส้น นักรบ มูลมานัส เป็นจำนวนมาก

เวลา 18.00 น. เริ่มกิจกรรมทอล์กพิเศษ Matichon’s Special Talk หัวข้อ “10 สัตว์มหัศจรรย์เปลี่ยนโลก” โดย ผศ.ดร.ป๋วย อุ่นใจ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้เขียนหนังสือ “Ani-More วิทยาสัตว์” พาเจาะลึกแนวคิดเรื่องราวของสัตว์ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้

ADVERTISMENT

ในการนี้ น.ส.ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยแฟนหนังสือร่วมรับฟังอย่างหนาแน่น

ADVERTISMENT

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า มนุษย์เรียนรู้อะไรจากสัตว์มาสร้างเป็นนวัตกรรมบ้าง?

ผศ.ดร.ป๋วย ล่าวว่า ตามจริงแล้วสัตว์ฉลาดกว่าเรา แต่วิวัฒนาการทำให้ทุกอย่างที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันมันถูกปรับให้เหมาะสม (Optimized) ให้อยู่รอดและสืบพันธุ์ เพราะถ้ามันจะอยู่รอดได้ต้องปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว นี่จึงสามารถที่ทำให้สัตว์มีอะไรให้เราเลียนแบบอีกเยอะ

“ลองจินตนาการหัวรถไฟความเร็วสูง (ชินคันเซ็น) มาจาก นกกระเต็น ที่มีหัวทู่ๆ ปากแหลมๆ และบินได้เร็วมาก อันนี้ก็เลียนแบบมา หรือกังหัน ก็มีการเลียนแบบมาจาก ฟลิปเปอร์ของปลาวาฬ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้มันว่ายน้ำได้เร็วขึ้น” ผศ.ดร.ป๋วยเผย

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวอีกว่า สัตว์เป็นต้นแบบให้เราหลายอย่างยาวนานมาก เพราะเขาวิวัฒนาการมาหลายร้อยล้านปี มนุษย์เราเพิ่งวิวัฒนาการมาแป๊บเดียวเอง ซึ่งปัจจุบันมีมาแค่แสนกว่าปี หรือมนุษย์รวมบรรพบุรุษเก่าสุด 8-10 ล้านปี ซึ่งสัตว์มีนานมากนั้น ตั้งแต่ยุคแคมเบรียนก็ประมาณ 500 ล้านปี ซึ่งนานมากแล้ว

เมื่อถามว่า สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมานาน มีการส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นอย่างได้ไร?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า แมงป่อง เป็นสัตว์ที่โรแมนติกมาก เวลาที่มันจะสืบพันธุ์กันจะต้องมาจับคู่กันก่อน มีกล้ามใหญ่และกล้ามเล็ก ตัวมันจะมี 8 ขา มีกล้ามใหญ่ 2 อัน และกล้ามเเล็กอีก 2 อันตรงปากมัน อันดับแรกเขาจะเอากล้ามมาจับคู่กันก่อน เพื่อเต้นรำกัน จนมีคำที่เรียกกันว่า “the dance for two” เป็นการเต้นเรากัน 2 ตัว แต่ที่จริงแล้วเป็นการงัดข้อกันระหว่างตัวเมียกับตัวผู้

“ถ้าตัวผู้สามารถงัดข้อชนะตัวเมียได้มันก็ยอม แต่ถ้าตัวผู้งัดไม่ชนะ มีความแข็งแรงไม่พอ มันก็จะไม่เอา เพราะฉะนั้นก็จะการ ‘the dance for two’ จากนั้นจะมีการตกลงปลงใจกัน มีการ Kiss ด้วย ใช้กล้ามเล็กจุ๊บกัน ก่อนผสมพันธ์ุกันเพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่ต่อ” ผศ.ดร.ป๋วยเล่า

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า แมงป่องบราซิล ถ้าเจออันตรายมันจะสลัดหางทิ้ง แม้มันดูห้าวแต่ไม่สู้คนสักเท่าไหร่ มันจะชอบซ่อนอยู่ในรูอยู่ในที่มืด เขามักจะเอาไฟแบล็กไลท์ติดหน้าผากไว้แล้วส่อง ตัวแมงป่องมันจะเรืองแสงขึ้นมาเลยในตอนกลางคืน มันจะชอบวันคืนเดือนมืดมาก

“มันจะตาไม่ดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยออกมาจากรู แต่ประสาทรับกลิ่นค่อนข้างพอใช้ได้ และการรับแรงสั่นสะเมือนใช้ได้ แต่ถ้าเทียบกับแมงมุมมันดีสุดแล้วก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งตัวแมงป่องที่เรืองแสงใต้ UV ได้หมดเลยทั้งตัว มันออกมากข้างนอกเมื่อไหร่แล้วตัวมันเรืองแสง มันจะรู้ว่าไม่ได้อยู่ในที่ซ่อนแล้ว มันจะรีบหาที่ซ่อนใหม่

นักวิจัยก็พบว่าถ้าเอาแสง UV ไปส่องมันก็จะหลบ มันรู้ว่ามันไม่ปลอดภัยก็จะกลับไปซ่อน พอปิดแสงแล้วมันก็จะออกมาใหม่ ซึ่งแสงที่เรืองเขาเรียกกันว่า ฟลูออเรสเซนต์ ถ้าเกิดเราส่องมันนานๆ ต่อมตรงนี้จะพังและเรืองแสงไม่ได้แล้ว พอเรืองเสียงไม่ได้แล้วมันก็จะเลิกซ่อนตัว จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมไป เราจึงเข้าใจกลไกตรงนี้

ถ้ามันเจออันตรายแล้วหลบไม่ทัน แมงป่องบราซิลก็จะสะบัดหางทิ้งไปเลยเหมือนจิ้งจก แต่งอกใหม่ไม่ได้ แต่หางข้อสุดท้ายตัวที่มีทวารอยู่ ทุกวันนี้พอมันสะบัดหางปั๊บจะต้องปิดแผล แต่ดันไปปิดรูทวารด้วย แมงป่องก็จะท้องผูก สะสมทุกอย่างไว้ข้างใน กินได้แต่ถ่ายไม่ได้ มันยอมท้องผูกตายแต่ไม่ยอมตายตรงนั้น

ก่อนตายมันมีมิชชั่นอยู่ 1 อย่าง คือมันจะหาคู่ผสมพันธุ์ก่อนเพื่อที่จะสืบต่อเผ่าพันธุ์ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ‘ยอมตายแต่ไม่ยอมโสด’ แล้วตายแบบทรมานเพราะท้องผูกตาย แต่อาจจะอยู่ได้ถึง 8 เดือน แบบที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 30-40 เปอร์เซ็นต์ อ้วนปี๋เลย แต่ต้องก็ทำเพื่อสืบพันธุ์” ผศ.ดร.ป๋วยเล่า

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวอีกว่า ตัวผู้ไม่มีปัญหาเพราะยังสามารถไปเต้นรำได้ปกติ แต่ปัญหาจะอยู่ที่ตัวเมีย เพราะว่าอุจจาระข้างในแมลงป่องมันไปอุดตันส่วนที่จะมีลูกในท้องให้ลดลง อย่างน้อยมีลูกสักหยิบมือหนึ่งยังดี เพื่อให้สามารถสืบพันธ์ุต่อไปได้

พิษแมลงป่องราคาแพงมาก ลองค้นกูเกิลเล่นๆ แล้วจะช็อก เขานับปริมาณเป็นแกลลอน ส่วนใหญ่คนเอาไปทำยาต้านมะเร็ง มีโปรตีน มีเปปไทด์เป็นร้อย แต่ก็มีพิษเยอะ เช่น คลอโรท็อกซิน เอาพิษไปต่อยอดอย่างอื่นได้ ซึ่งมีคนเอาไปทอดลองกับมะเร็งสมอง ปรากฏว่าตัวนี้มันไม่ไปฆ่ามะเร็ง แต่มันไปสะสมในเซลล์มะเร็ง ไม่เจอในเซลล์ปกติ ก็เลยมีนักวิจัยบอกว่าลองเอาสีฟลูออเรสเซนต์ไปติดไว้ เวลาผ่าตัดสมองก็จะทำให้ตัวมะเร็งเรืองแสงภายใต้ UV มันเลยเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น

เวลาผ่าสมองต้องแม่นยำเกินไปนิดหน่อยไม่ได้เลย หรือผ่าออกไม่หมดมันก็จะกลับมาใหม่ พอมะเร็งมันเรืองแสงได้ตอนผ่าตัดเราก็จะรู้จุด มันเป็นเรื่องที่ว้าวมาก และตอนนี้กำลังเริ่มการทดลองเพื่อใช้กับมนุษย์แล้ว ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามอยู่ เรียกว่า ทูเมอร์เพนต์ เหมือนสีทามะเร็ง แต่ตามจริงแล้วมาจากแมงป่อง เรื่องมันมหัศจรรย์มาก เป็นเรื่องที่ว้าวอยู่” ผศ.ดร.ป๋วยเผย

เมื่อถามว่า ทำไมวงการวิทยาศาสตร์ถึงชอบศึกษา “มด”?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า เหตุผลเพราะว่ามดมันเยอะ แล้วการค้นพบว่า มดมีน้ำนม เราต้องนิยามคำว่า “นม” ก่อนว่ามันเป็นของเหลวที่เอาไว้เลี้ยงตัวอ่อน มันเพิ่งเจอไม่นานนี้เอง แต่เป็นนมของดักแด้ มีสารอาหาร มีฮอร์โมนมากมาย

“เรื่องของเรื่องเกิดจากการที่นักวิจัยมดโดยตรงเขาไม่สนใจเรื่องพฤติกรรม เขามองข้าม แต่คนที่ไม่ใช่เขากลับตื่นเต้นว่าทำไมมดไปดูดสารอะไรจากดักแด้มากันเยอะ มันมีมดงานดูดเอาไปเลี้ยงตัวอ่อน เลยเกิดการทดลองเอาไปย้อมสี ท้ายสุดกลายเป็นว่าอาหารนี้เหมือนเป็นนมที่เลี้ยงกันทั้งรังเลย มันมีธาตุอาหาร ฮอร์โมนหลายอย่าง ซึ่งหลายคนก็สนใจว่ามันอาจเป็นการสื่อสารของมดทั้งรังด้วย คนจึงมุ่งศึกษาเพื่อที่จะเอาไปคอนโทรลมด ศึกษามันสื่อสารกันอย่างไร

อี.โอ.วิลสัน นักวิจัยมด พบว่ามดเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากยิ่งถ้าอยู่เป็นโคโลนี (colony) เขาจึงคิดว่าถ้าเกิดเข้าใจว่าการอยู่เป็นกลุ่มของมดเป็นยังไง ที่ทำให้พวกมันสามารถเอาตัวรอดได้ มันอาจจะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนกับมดได้” ผศ.ดร.ป๋วยกล่าว

เมื่อถามว่า ปรากฏการณ์มดวิ่งเป็นวงกลมเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือไม่?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า เป็นพฤติกรรม swarm intelligence มันไม่ได้เหนือธรรมชาติขนาดนั้น เพราะคนไปศึกษาว่ามันสื่อสารกันอย่างไร ก็จะมีตั้งแต่สารฟีโรโมน ไปจนถึงสารที่มันหลั่งกันออกมาเพื่อคุยกัน แล้วนมก็คิดว่าเป็นสารหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นี้ ถ้าเกิดว่าไปเสิร์ชกูเกิลดูก็จะเห็นเป็นการใสๆ ที่มดไปรุมดูดกัน

เมื่อถามถึงเรื่องราวของ “แพนด้า” สัตว์ตัวโปรดของหลายคน เขียนไว้ในหนังสือ Ani-more ว่าอย่างไร?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า แพนด้าเป็นสัตว์ที่ตนชอบเหมือนกัน มันตะมุตะมิแล้วก็งงกับชีวิตดี ชอบตกจากที่สูงแบบงงๆ แต่แพนด้าจะมีความประหลาดอยู่นิดหนึ่ง มันจะไม่ค่อยอพยพ แต่จะปรับตัวให้ทนกับอากาศได้ มันจะหลอกตัวเองว่าไม่หนาว ด้วยการเอาขี้ม้าสดมาพอก ยื่งขี้ม้าสดมันยิ่งชอบ เพราะมันมีสารเดียวกันในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ในกัญชา แล้วสารพวกนี้ออกฤทธิ์ ต่อต่อมรับรู้ความเจ็บปวด

“มันหลอกความรู้สึกตัวเอง มันจึงไม่ค่อยอพยพ มันเลยชอบขี้ม้ามาก เขาสำรวจกันมานานแล้วว่า แพนด้าชอบเอาขี้ม้ามาพอกตัว เขียวๆดำๆ เสิร์ชรูปแล้วก็เจอ จนเพิ่งมีคนศึกษากันจริงจังเหมือนกันว่า ทำไมมันชอบเอาขี้ม้ามาพอกแบบนี้ไม่นานมานี้” ผศ.ดร.ป๋วยเผย

เมื่อถามว่า หากต้องยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่คนเรียนรู้และเลียนแบบมาจากสัตว์มีอะไรบ้าง?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า แมลงสาบ ปกติคนจะไม่ค่อยชอบกัน มันอึดถึกทนสุดๆ ฆ่าแล้วก็ไม่ตาย เอาเหยื่อให้มันกิน มันก็ไม่กิน เพราะการรรับรู้ต่อเหยื่อล่อ เป็นเรื่องที่แสบมาก มันมีการกลายพันธุ์จากที่ปกติแล้ว กินเหยื่อแล้วจะมีหวาน แต่มันพัฒนาให้กินแล้วขม มันก็จะไม่กินเหยื่อล่อ กลายเป็นแมลงสาบ low-carb

“ตัวแมลงมันมี exoskeleton คนก็เอามาเลียนแบบสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถซอกแซกได้ ตามตรอกซอกซอย นักวิจัยก็ออกแบบหุ่นยนต์มีหน้าเหมือนแมลงสาบ เขาไปตั้งกล้องวิดีโอเลยว่าเคลื่อนที่ยังไง มุดท่อยังไง แต่มันแบตหมดเร็ว กลายเป็นว่าเวลาที่จะไปช่วยคนในซอกตึกแล้ว คนกลับต้องเป็นคนต้องไปช่วยหุ่นยนต์ที่แบตหมดอีกที

จนมีการพัฒนาให้ใช้มือถือปัดซ้ายปัดขวา ควบคุมให้หุ่นยนต์แมลงสาบเคลื่อนแบบคอนโทรลมัน ติดสัญญาณจากหนวดมัน แล้วมีนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นมองว่าแล้วทำไมเราไม่ใช้ตัวจริงเลย มันเดินของมันเองได้ ไม่ต้องชาร์จแบต ตอนนี้เขาก็มีความพยายามเอาไปลองใช้ในซอกตึก แต่ต้องนึกภาพว่าปล่อยแมลงสาบ 500 ตัว วิ่งกรูกันไป ตอนปล่อยออกไปยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนที่มันกลับมาพร้อมกัน ก็น่าสยองอยู่ ซึ่งก็เป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ช่วยคนตอนแผ่นดินไหว ถ้าไปดูแลบเขา ก็ตะเห็นกล่องเลี้ยงแมลงสาบเรียงกันเป็นตับเลย” ผศ.ดร.ป๋วยเล่า

เมื่อถามถึงนวัตกรรมที่เกิดจาก “แมงมุม” คืออะไร?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า นักวิจัยเจอแมลงมุมมนอนตายอยู่ มันจะนอนขดหงิกอยู่ เพราะกล้ามเนื้อมันหด แต่พอมันยืดมันเป็นแรงดันน้ำ เป็นระบบเพรชเลอร์ (hemolymph) ที่จะทำให้ขามันจะกาง แต่พอมันตายเลือดมันไม่มีความดันแล้ว ตัวมันก็เลยจะหงิก

“นักวิจัยเห็นว่าโพรงตัวมันไม่มีเลือดแล้วก็เลยเอาเข็มฉีดยาและกาวตราบีบลงไป เป็นการเป่าลมเข้าไป คนก็สงสัยว่าน่าสงสัยตรงไหนที่เอาแมลงมุมไปอัดลม อ้าออก หุบได้ แต่กลายเป็นว่ามันใช้แทนมือคนขนาดจิ๋วได้ อันนี้เห็นเป็นเปเปอร์ออกมาอยู่ ยังไม่ได้เอาไปใช้จริง แต่อันนี้เป็นเปิบพิสดาร แล้วมาเป็นไอเดียของเครื่องมือจักรกลขนาดเล็ก เขาทำทดลองแมงมุมจิ๋วอยู่ พัฒนาเทคโนโลยีที่จะสามารถคีบของขนาดเล็กได้ มันก็ประหลาดอยู่เป็นไอเดียที่ได้มาจากความแปลก” ผศ.ดร.ป๋วยเผย

เมื่อถามว่า นวัตกรรมที่เลียนแบบพฤติกรรม “หนู” ตอนจำศีล คืออะไร?

ผศ.ดร.ป๋วยกล่าวว่า หนูจะมีแบบจำศีลกับไม่จำศีล ซึ่งหนูท่อบ้านเราไม่จำศีล แล้วจะทำอย่างไรให้มันจำศีล เพราะการจำศีลจะทำให้เมตาบอลึซึมลดลง ถ้าเราสามารถทำให้คนจำศีลได้แล้วฟื้นขึ้นมาก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เช่น การเดินทางในอวกาศ ที่จะทำให้คนนอนอยู่ในแคปซูลแบบให้คนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีก 90 ปีข้างหน้า

“ปัจจุบันถ้าจะเตรียมให้คนเพื่อรอการรักษาก็จะมีการแช่ในไนโตรเจน ทำให้เกิดน้ำแข็งซึ่งจะทำให้เซลล์สมองเสียหายได้ Cryopreservation เอาไปแช่แล้วมสมองก็จะเอ๋อ ถึงจะมีการแช่แข็งหนูไว้ 16 ปี ลองเอาอวัยวะต่างๆ มาสกัด DNA มาโคลนนิ่ง ก็พบว่าสมองหนูยังสามารถ เอามาทำโคลนนิ่งเป็นหนูอีกตัวได้ แต่นั่นเป็นเรื่อง DNA ไม่ใช่สารสื่อประสาทของสมอง ถ้าเราทำให้คนจำศีลได้ก็จะเป็นอะไรที่ดี” ดร.ป๋วยกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image