สมชาย แซ่จิว โหมโรง ‘เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน’ – แง้มกิมมิคเปิดเบื้องหลัง ‘วรรณกรรม-ละครจีน’ อัดแน่นเกร็ดปวศ. พร้อมให้แง่มองอนาคตและการลงทุน ยันครบจบในงานเดียว
สืบเนื่องจาก “เครือมติชน” จัดงานเทศกาล “Thai–Chinese Golden Fest เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม – 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 18.00 น. ณ True Digital Park อาคาร West ชั้น 2
นายสมชาย แซ่จิว นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์จีน-ไทย กล่าวว่า ตนคนหนึ่งที่สนใจในเรื่องของวัฒนธรรมจีน ซึ่งก็มีผลงานหนังสือออกมาเรื่อง “พลิกสุสาน อ่านจิ๋นซี” และอีกหลายเล่มที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน แต่เน้นในเรื่องของเกร็ดความรู้ทางวัฒนธรรม
“เรามักจะได้ยินคำพูดว่า จีน-ไทย มิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ซึ่งเรากับจีนจริงๆ ผูกสัมพันธ์กันมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นมานานมากแล้ว แต่ว่าสัมพันธภาพทางการทูตไทย-จีน ที่ครบรอบ 50 ปี อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคม
บรรดาสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือ ภาพยนตร์ และอื่นๆ ก็ต่างที่เป็นสื่อที่มีบทบาทสูงในการสานสัมพันธ์ไทย-จีน เพราะว่ามันจะช่วยถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ แล้วก็วัฒนธรรมของทั้งสองฝั่งมีการแลกเปลี่ยนได้ดี โดยเฉพาะวงการหนังที่เราดูไม่ว่าจะเป็น มังกรหยก กระบี่เย้ยยุทธจักร อะไรต่างๆ
อย่างน้อยมันก็ทำให้เห็นภาพว่า คนจีนเขายึดถือคุณธรรมแบบไหน เช่น เรื่องความกตัญญู เรื่องของความต้องล้างแค้นแทนอาจารย์ บิดา อย่างน้อยเราก็จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้” นายสมชายชี้
นายสมชายกล่าวอีกว่า ช่วงหลังมานี้ฝั่งจีน ก็เอาซีรีส์ไทยไปออนแอร์ที่นั่น ซึ่งก็จะช่วยให้คนจีนเข้าใจวัฒนธรรมแบบไทย อย่างเรื่องอาหารไทย คนจีนก็จะชอบกินอาหารไทย ชอบทุเรียน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผลจากสื่อเหล่านี้ด้วย หรือ แม้กระทั่งความลุ่มลึกของหนังสือ ที่เราแปลวรรณกรรมจีนมากมาย ที่ทำให้เราเข้าใจจีน ส่วนจีนเองก็แปลหนังสือไทยไปมากมายเหมือนกัน เช่น ข้างหลังภาพ ของ ศรีบูรพา ก็ถูกแปลเป็นภาษาจีนด้วย เรียกได้ว่า ‘มันส่องทางให้กันตลอด’
“บทบาทของหนังสือ ก็ทำให้คนไทยเริ่มเข้าใจจีนมากขึ้นก็มีหลายเล่ม พอจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1949 จีนเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นโลกทั้งโลกก็เป็นสงครามเย็น สิ่งหนึ่งที่ตอนนั้นสังคมไทยกลัวมาก คือ ภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ เรามองแผ่นดินจีนเป็นยักษ์ ซึ่งเราส่วนหนึ่งในตอนนั้นกลัวจีนมาก พอทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ก็ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของจีนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป” นายสมชายระบุ
นายสมชาย กล่าวต่อว่า วรรณกรรมก็มีส่วนช่วยในการทำให้เข้าใจจีนมากขึ้น เช่น เล่ม “การค้าเรือสำเภาจีน-สยาม ยุครัตนโกสินทร์” ช่วงยุคนั้นมีงานเขียนออกมามากมาย ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของจีนในสายตาคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป และมองจีนอย่างเข้าใจมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เราเห็นภาพจีนที่เป็นจริง ไม่ใช่จีนในมโนคติ หรือ ความเป็นจีนแบบคอมมิวนิสต์
นายสมชาย กล่าวอีกว่า สังคมจีนทุกวันนี้ที่เรามองว่าเป็นสังคมนิยม หรือ คอมมิวนิสต์ ที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา แต่ในสถาการณ์ทุกคนวันนี้ที่จีน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่หันมามูเตลูกันเยอะขึ้น เช่น ทัวร์ไปเขาบู๊ตึ๊ง หรือ วัดลามะ ที่กรุงปักกิ่ง โดยสมัยก่อนจะเห็นภาพแค่คนแก่เท่านั้นที่ไปนั่งสวดมนต์ แต่ทุกวันนี้จุดที่ขายเครืองวัตถุมงคลคิวยาวมาก เพื่อจะไปซื้อพวกสร้อย สำหรับเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน การศึกษา ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากสังคมไทยสักเท่าไร เพียงแค่อาจจะไหว้กับคนละเทพ
“งาน Thai–Chinese Golden Fest เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน ที่กำลังจะจัดขึ้นครั้งนี้ นอกจากที่เราจะคุยกันเรื่องวัฒนธรรมไทย-จีน หรือ อิทธิพลของสื่อแล้วนั้น มันยังมีเรื่องราวของจีนและไทยอีกมายมาย อีกเป็นร้อยเป็นพันเรื่องที่เราได้รวบรวมมาไว้แล้วในงานๆหนึ่ง ซึ่งอยาให้ทุกคนได้มาสัมผัส
นอกจากนี้ ยังมีการรวมเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายและนักวิชาการทั้งหลาย มาให้แง่มุมของการเมือง ศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเรื่องของอนาคต เกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวกับไทยและจีน ซึ่งรวบรวบไว้ในงานแล้วทั้งหมด” นายสมชายกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน ได้แก่ นิทรรศการ “Thai–Chinese Golden Fest 2025 จีนไทย ก้าวไปด้วยกัน” ซึ่งเป็นนิทรรศการที่แสดงถึงสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสองประเทศ ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ไปจนถึงโอกาสความร่วมมือในอนาคต
โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจะร่วมนำชมนิทรรศการ พร้อมกับบรรยายเกร็ดประวัติศาสตร์อย่างเข้มข้น นำโดย นายสมชาย จิว ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์จีน–ไทย, นายนริศ จรัสจรรยาวงศ์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการอาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษา ซึ่งจะเวียนนำชมนิทรรศการนวันที่ 11-13 กรกฏาคม ตามลำดับของการจัดงานตลอด 3 วัน
รวมถึง กิจกรรมเสวนา 6 เวที ได้แก่ เสวนาด้าน ‘ประวัติศาสตร์’ หัวข้อ “ไทย ‘ไม่มา’ จากจีน แต่จีน ‘มา’ จัดการไทย” นำโดย นายสุจิตต์ วงษ์เทศ และเสวนาหัวข้อ “ประวัติจีนกรุงสยาม” นำโดย น.ส.พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร, นายปริวัฒน์ จันทร, เจฟฟรี ซุน และนายสมชาย จิว ผู้ดำเนินรายการ ในวันที่ 11 กรกฏาคม 2568
ต่อมา กิจกรรมเสวนาด้าน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ในวันที่ 12 กรกฏคม ได้แก่ เสวนาหัวข้อ “TikTok Revolution: พลังครีเอเตอร์ที่เปลี่ยนโลกและวัฒนธรรมป๊อป” นำโดย พ่อมด TikTok, “จากกระบี่เย้ยยุทธจักรถึงสตรีมมิง: พลัง C-Pop และดาราจีน” นำโดย นายนนทรีย์ นิมิบุตร, นายปริภัณฑ์ วัชรานนท์, นายณัฐพร รุ่งขจรกลิ่น, น.ส.ปรภาว์ สมบัติเปี่ยม และนายสมชาย แซ่จิว ผู้นำเนินรายการ
รวมถึง กิจกรรมเสวนาด้าน ‘ธุรกิจ’ ในวันที่ 13 กรกฏาคม ได้แก่ เสวนาหัวข้อ “Brand Go China: บุกจีนให้ปัง ธุรกิจไทยต้องรู้” นำโดย นายพิชเยนทร์ หงษ์ภักดี, น.ส.ณชา จึงกานต์กุล และนายอธิกร ศรียาสวิน ผู้ดำเนินรายการ, “Smart China 5.0 เมื่อ AI เปลี่ยนเกมธุรกิจ” นำโดย นายปฤณ จำเริญพานิชและนายกษิดิศ สตางค์มงคล เป็นต้น