คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : Whitney ‘วิทนีย์ ฮุสตัน’ ชีวิตที่มาไกลเกินกว่าจะหาทางกลับบ้านได้

หากมนุษย์คนหนึ่งจะได้รับพรจากพระเจ้าให้เธอมีน้ำเสียงที่ไพเราะ มีพรสวรรค์ในการใช้เสียงของเธอเพื่อมอบความสุขให้กับผู้ฟังทั้งโลก โดยแลกมาด้วยความสุขหลายอย่างที่หายไป

หากเลือกได้และหยั่งรู้ถึงอนาคต เราไม่อาจแน่ใจว่า “วิทนีย์ ฮุสตัน” นักร้องหญิงผู้มีพลังเสียงระดับ “ดีว่า” จะยังขอพรข้อนั้นสถิตอยู่กับเธอ หรือจะขอเป็นเพียง “นิปปี้” น้องเล็กของครอบครัวผู้ไม่ต้องแบกรับความสำเร็จอันล้นหลาม ที่มอบอีกด้านผุพังในชีวิตให้เธอ

“วิทนีย์ ฮุสตัน” ไม่แตกต่างจาก “ตำนานศิลปิน” อีกหลายคนที่มอบทั้งความสุข และทิ้งความเศร้าอาลัยให้โลก

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Whitney” ออกฉายหลังการจากไป 6 ปี ของ “วิทนีย์ ฮุสตัน” ในวัย 48 ปี

Advertisement

ชีวิตของ “วิทนีย์” ฉายแสงเรืองรองโด่งดังตั้งแต่กลางยุค 80 และโจนทะยานสุดขีดในทศวรรษ 90 ก่อนจะอำลาโลกนี้ไปในปี 2012 แบบช็อกโลกและคนทั้งวงการดนตรีสหรัฐ เพราะเธอเสียชีวิตก่อนหน้าวันประกาศผลรางวัลใหญ่ด้านดนตรี “แกรมมี่ อวอร์ด” เพียง 1 วัน โดย “วิทนีย์” มีกำหนดที่จะเข้าร่วมงาน และปรากฏตัวบนเวทีแกรมมี่ อวอร์ดด้วย

“Whitney” เป็นหนังสารคดีเรื่องที่สองที่ออกมาหลังการเสียชีวิตของเธอ เรื่องแรกคือ “Whitney : Can I Be Me” ออกฉายเมื่อปี 2017 โดยหนังสารคดีทั้งสองเรื่องพูดถึงชีวิตส่วนตัว และอาชีพบนถนนสายดนตรีของวิทนีย์เช่นเดียวกัน

Advertisement

แต่ใน Whitney หนังสารคดีปี 2018 ลงลึกและมีความดราม่ามากกว่า

เรื่องราวในสารคดีชิ้นนี้ รวบรวมการสัมภาษณ์และมุมมองของผู้คนในครอบครัว ญาติ เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน อดีตสามี และโฮมวิดีโอเก่าจำนวนมากที่ตัดมาเป็นฟุตเทจให้เราได้เห็น

หนังสารคดีเป็นกระแสเมื่อครั้งออกฉายในสหรัฐเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะตัวเนื้อหามีการเปิดเผยรายละเอียดเบื้องลึกและความลับบางอย่างที่ทำให้สื่อในสหรัฐนำไปเสนอข่าวขยายความต่อ ทั้งประเด็น

ความลื่นไหลทางเพศของวิทนีย์กับเพื่อนสนิท “โรบิน ครอว์ฟอร์ด” การถูกล่วงละเมิดทางเพศจากญาติโดยระบุชื่อกันในสารคดีเลยว่าเป็นใคร

กระทั่งเราได้เห็นฟุตเทจมุมมองลบของวิทนีย์ ที่มีต่อเพื่อนศิลปินหญิงร่วมยุคสมัย อย่าง “เจเน็ต แจ๊กสัน” และ “พอลล่า อับดุล”

ความที่เพลงของเธอมีความ “ป๊อป” และมีเนื้อหาความรักแบบฟูมฟายอยู่หลายเพลง จนเมื่อศิลปินหญิงอย่าง พอลล่า อับดุล และ เจเน็ต แจ๊กสัน ออกเพลงแนวดนตรีร่วมสมัยกว่า

“พอลล่า (อับดุล) ร้องเพลงเพี้ยน ตั้งแต่บันทึกเสียงลงแผ่นแล้ว” วิทนีย์พูดวิจารณ์คู่แข่งทางอาชีพให้แม่ฟัง

“ไม่ต้องสนใจพวกนั้นเป็นดนตรีฮิตชั่วครั้งชั่วคราว ลูกกำลังจะร้องเพลงที่เป็นตำนาน” ซิสซี่ ฮุสตัน ผู้เป็นแม่บอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงมั่นใจในฟุตเทจ

แน่นอน “ซิสซี่” ไม่ได้พูดเกินเลย จังหวะชีวิตของ “วิทนีย์” นับตั้งแต่กลางยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ยังขึ้นแรงต่อเนื่อง จากผลงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอใน “The Bodyguard” ออกฉายในปี 1992 ที่ดังเป็นพลุแตกทั่วโลก

ก่อเกิดจุดเริ่มต้นของ “ตำนาน” ให้วิทนีย์ ฮุสตัน เมื่อเพลง “I will always love you” เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ “ฮิตทั่วโลก” และทำให้โลกยิ่งหลงใหลในสุ้มเสียงเสน่ห์อันทรงพลังนี้

ในที่สุดเพลงนี้ได้กลายเป็นซิกเนเจอร์ของเธอ จนเป็นตลกร้ายว่า ที่จริงแล้วเวอร์ชั่นดั้งเดิมของเพลงนี้ ร้องโดยนักร้องหญิงคันทรี “ดอลลี่ พาร์ตัน” ที่ผู้คนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

“ไคล์ฟ เดวิส” โปรดิวเซอร์คู่บุญ บอกไว้ว่า วิทนีย์สามารถร้องเพลงและถ่ายทอดความหมายบางอย่างในเพลงออกมา ระดับที่แม้แต่คนที่แต่งเพลงนั้นเองยังงงว่ามีความหมายแบบนี้ซ่อนอยู่ในเพลงด้วยหรือ

ท่ามกลางความชื่นชมในพรสวรรค์นี้ ด้านหนึ่งสิ่งที่สารคดี “Whitney” สะท้อนออกมาคือ ระหว่างทางของความรุ่งโรจน์นั้น กลับมี “บางอย่าง” ในส่วนลึกของวิทนีย์ ที่กำลังร่วงหล่นแตกสลายไปเรื่อยๆ

แม้เธอจะถูกเลี้ยงอย่างใส่ใจจากแม่ ถูกญาติพี่น้องห้อมล้อมดูแล แต่การทะนุถนอมนี้กลับกลายเป็นหอกทิ่มแทงชีวิตเธอ จนดูเหมือนว่าวิทนีย์ขาดภูมิคุ้มกันชีวิตด้วยตัวเองที่ดีพอ

เธอว้าเหว่ และติดกับดักความสำเร็จที่ได้รับมาตั้งแต่อายุยังน้อย การก้าวเข้าสู่ชีวิตคู่ที่ล้มเหลวอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนสาวที่ถูกจับจ้อง การถูกพ่อแท้ๆ หักหลัง ความไม่ลงรอยกับลูกสาว ชีวิตที่เข้าออกกับเส้นทางยาเสพติด การถูกสื่อรุมกัดกินชีวิตส่วนตัว

ทั้งหมดกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ

“ผู้คนคิดว่ามันง่ายเหรอ มันยากนะ” วิทนีย์นั่งบ่นหน้ากล้องในอารมณ์ส่วนตัว

ความยากของการมีชีวิตเป็น “วิทนีย์” ที่ต้องร้องเพลงเพื่อรักษามาตรฐาน “ดีว่า” เป็น “วิทนีย์” ผู้เปี่ยมพลัง ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินที่แสดงสดได้สุดขีด

แม้คนทั้งโลกจะเรียกขานเธอว่า “วิทนีย์” ที่เป็นชื่อจริง แต่คนในครอบครัวจะเรียกเธอด้วยชื่อเล่นอย่างเอ็นดูว่า “นิปปี้”

ในฉากที่วิทนีย์ ฮุสตัน นั่งพูดงึมงำกับตัวเองคนเดียวเหมือนกำลังคุยวิทยุสื่อสารว่า “วิทนีย์เรียก นิปปี้ตอบด้วย” เธอหันมาพูดกับคนตรงนั้นว่า “เวลานิปปี้เรียกวิทนีย์ วิทนีย์จะตอบ แต่เวลาวิทนีย์เรียกนิปปี้ นิปปี้จะไม่ตอบ”

จิตวิญญาณของ “วิทนีย์” และ “นิปปี้” ราวกับแยกขาดจากกันไปแล้ว

ไม่มีเด็กหญิง “นิปปี้” ผู้มุ่งมั่นสู่เส้นทางนักร้อง ผู้ได้รับการทะนุถนอมฟูมฟักอย่างดีจากคนในบ้าน เด็กน้อยที่มองโลกสวยงามหายไปแล้ว

เหลือเพียง “วิทนีย์” นักร้องดังผู้เป็นตำนานประจำยุค 80-90 ภายใต้ใบหน้านั้นกลับหวาดกลัว ซ่อนการถูกคาดหวังไว้มากพอๆ กับความสำเร็จที่เธอได้รับอย่างล้นหลาม

เป็นบทสรุปของ “Whitney” สารคดีชีวิตที่เปิดมุมมองอันน่าเห็นใจของ “วิทนีย์ ฮุสตัน” หนึ่งในศิลปินที่โลกจดจำ กับชีวิตที่มาไกลเกินกว่าจะหาทางกลับบ้านได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image