ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ [email protected] |
---|---|
เผยแพร่ |
แวะเวียนไปรับฟังการปรับปรุงหลักสูตรนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมมาเมื่อวันก่อน
พบว่า คณะนิเทศศาสตร์ต่อไปนี้มีการทรานส์ฟอร์มจากของเดิมกลายเป็นออนไลน์แบบเต็มตัว
หลักสูตรของคณะนิเทศฯ จากเดิมที่ผูกพันกับสื่อหลักอย่างวิทยุโทรทัศน์ และการประชาสัมพันธ์
จะพัฒนากลายเป็น “การออกแบบการสื่อสารดิจิทัล” และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล
ทุกอย่างที่ออกแบบเพื่อรองรับลักษณะงานการสื่อสารในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง
ปรับให้สอดคล้องกับการสื่อสารที่สัมพันธ์กับออนไลน์
เป้าหมายการผลิตบัณฑิตต่อไปนอกจากจะต้องรู้หลักการเบื้องต้นของการสื่อสาร
ต้องรู้ว่า การเขียนที่มีองค์ประกอบ 5 W 1 H ต้องรู้จักประเด็น รู้จักการนำเสนอรายงานข่าว ฯลฯ แล้ว
ยังต้องเรียนรู้วิธีการใช้สื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ด้วย
แทนที่จะรู้แค่การเขียนก็ต้องรู้เรื่องภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
ต้องมีทักษณะการทำคลิป
นอกจากนี้ ยังต้องมีทักษะการพูด ซึ่งมีความสำคัญในการจัดรายการ
เช่นเดียวกับการจัดหน้าที่เดิมมีวิชาจัดหน้าหนังสือพิมพ์ ขณะนี้ต้องรู้จักออกแบบเว็บไซต์
ขณะที่การโฆษณาต้องเพิ่มเติมการโฆษณาทางเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายๆ คน
จุดเด่นอีกอย่างที่สัมผัสได้จากหลักสูตรทางด้านนิเทศฯ คือ การบรรจุวิชาสตาร์ตอัพเข้าไปด้วย
อย่างที่รู้กันว่า สตาร์ตอัพเป็นการประกอบธุรกิจที่กำลังมีการรณรงค์กันในขณะนี้
รัฐบาลที่เดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0 นำเสนอสตาร์ตอัพเป็นหนึ่งในทางรอดของประเทศ
หลักสูตรนิเทศฯ ใหม่ที่กำลังจะใช้ในปี 2562 จึงมีเรื่องสตาร์ตอัพผนวกเข้าไปด้วย
การมีหลักสูตรนี้จะรองรับบัณฑิตในอนาคต
ต่อไปบัณฑิตใหม่จะได้มีทางเลือกในอาชีพ จะเป็นลูกจ้างก็ได้ จะเป็นผู้ประกอบการก็ได้
ข้อเสนอแนะในระหว่างการรับฟังหลักสูตรนิเทศฯ คือ การทำให้ทุกวิชามีความสมบูรณ์ในตัวเองให้มากที่สุด
สมบูรณ์ให้ถึงขนาด เรียนจบวิชานั้นแล้ว สามารถนำไปประกอบอาชีพได้
วิธีนี้ดี เพราะอาจปรับเนื้อหาในวิชาต่างๆ มาเป็นคอร์สอบรมต่างหากได้อีก
สำหรับนักศึกษาที่เรียน 4 ปีเต็มหลักสูตร จะมีโอกาสค้นหาตัวเองว่า เหมาะที่จะยืนอยู่ตรงไหนในวิชาชีพการสื่อสาร
เหมาะตรงไหนก็ไปทำตรงนั้น
ใครสะดวกจะออกไปทำงานกับองค์กรสื่อใหญ่ๆ ก็ทำได้
จะยึดอาชีพผู้สื่อข่าว หรือเข้าไปเป็นฝ่ายผลิต รวมทั้งฝ่ายโฆษณา ก็ทำได้
แต่ถ้าใครไม่ชอบเป็นลูกจ้างพนักงานบริษัท จะรับเป็นฟรีแลนซ์ก็แล้วแต่
รวมทั้งคนที่อยากเป็นผู้ประกอบการก็สามารถใช้ความรู้จากวิชาสตาร์ตอัพนำร่อง
หลักสูตรใหม่ที่สร้างขึ้นมามีเจตนาเช่นนี้
รับฟังแล้วรู้สึกได้ถึงพัฒนาการด้านหลักสูตรที่ตอบรับความต้องการของตลาดแรงงาน
แม้หลายคนอาจจะมองว่านิเทศศาสตร์ล้นตลาด แต่หากกวาดสายตามองไปทั่วประเทศ
เรายังขาดนักสื่อสารมากมาย
ประเทศเราต้องการนักสื่อสารในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับชาติ
ต้องการคนที่พูดแล้วผู้ฟังเข้าใจ และต้องการคนที่ฟังคนอื่นพูดเรื่องยากๆ แล้วเข้าใจ
เรายังขาด “สื่อกลาง” เช่นนี้อยู่อีกหลายที่
การขาดแคลนนักสื่อสารดังกล่าว ยืนยันว่าวิชาชีพทางด้านนี้ยังมีความสำคัญต่อสังคม
ดังนั้น การพัฒนานักสื่อสารให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงมีความจำเป็น
และสถาบันการศึกษาก็เป็นสถาบันที่ต้องทำหน้าที่นี้
ทั้งหมดคือเรื่องราวที่ได้สัมผัสกับการปรับปรุงหลักสูตรนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เข้าใจว่า มหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งก็มีการทรานส์ฟอร์มหลักสูตร เพื่อรับกับสังคมยุคไฮเทค
ต้องปรับปรุงหรือทรานส์ฟอร์มหลักสูตร เพื่อหลบเลี่ยงกระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีผลต่อการ Disrupt
เมื่อสถาบันศึกษาปรับหลักสูตรเพื่อรับมือกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงได้
แม้ต่อไปเทคโนโลยีจะเปลี่ยนเร็ว แต่ถ้าเรามีความพร้อมในการรับการเปลี่ยนแปลง
บางที เทคโนโลยีที่กลัวกันว่าจะเข้า Disrupt หากเราสามารถก้าวข้าม
Disrupt ดังกล่าวอาจจะเปลี่ยนมาเป็นตัวช่วยให้เรา Deverlop ก็เป็นไปได้
หากเราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ เราก็สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
เปลี่ยนจากการทำลายเป็นการสร้างสรรค์
และเมื่อใดที่เราปรับตัวทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวการเปลี่ยนแปลง
เพราะโลกใบนี้อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา
บางยุคเปลี่ยนช้า บางยุคเปลี่ยนเร็ว
ไม่ว่าเปลี่ยนช้าหรือเร็วมนุษย์เราก็ต้องปรับตัว
หากปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ก็อยู่รอด แต่ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็อยู่ยาก
ดังนั้น ในช่วงที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลง ขอให้ทุกคนปรับตัว
ปรับตัวเพื่อนำเอาสิ่งที่มาใหม่มาใช้สร้างสรรค์ผลงานให้ชีวิต
สร้างผลงานให้องค์กร และสร้างผลงานให้เกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมืองต่อไป