คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : Papi Churo ‘ความเหงา’ ที่ยากจะสื่อสาร

ภาพประกอบจาก Youtube Video/EclipsePicturesIE

“Papi Churo” ในภาษาสเปน หมายถึง “ผู้ชายแสนเสน่ห์” หรือจะแปลตรงตัวก็ว่า “ผู้ชายรุ่นใหญ่” (รุ่นคุณพ่อ) ผู้ทรงเสน่ห์ ขณะที่บางความหมายแบบคำแรงๆ ก็ว่ากันถึงขนาด เป็นผู้ชายที่มีผู้หญิงคอยอุปถัมภ์เลี้ยงดู

สำหรับ Papi Churo ในความหมายของภาพยนตร์อินดี้เรื่องนี้ นิยามตรงกับคาแร็กเตอร์ ชายสูงวัยที่มีเสน่ห์ เหตุที่หนังใช้ภาษาสเปนเป็นชื่อเรื่องเรียกขานนั้น เพราะตัวละครหลักในเรื่อง “เออร์เนสโต้” เป็นชายเม็กซิกันวัยเลยกลางคนที่อพยพเข้าเมืองมาอยู่ในลอสแองเจลิส ดำรงชีพด้วยการเป็นลูกจ้างแรงงาน รับจ้างรายวัน จนวันหนึ่งเขามีโอกาสไปรับจ้างทาสีระเบียงไม้ที่บ้านของ “ฌอน” ผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศหนุ่มชื่อดังที่ชีวิตกำลังเสียศูนย์อย่างหนักจากความรักที่พลัดพราก ถึงขนาดร้องไห้สติแตกระหว่างรายงานข่าวพยากรณ์อากาศ จนเจ้านายถึงกับออกปากให้ลาหยุดงานไปสงบจิตสงบใจ

ขณะที่ “ฌอน” อยู่ระหว่างปรับตัวกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการสูญเสีย เขาตัดสินใจทิ้งความทรงจำสุดท้าย ด้วยการขนย้าย “ต้นไม้เก่า” ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ระลึกของความรักย้ายออกจากบริเวณระเบียงบ้าน ทันทีที่กระถางต้นไม้ใบกลมใหญ่ยักษ์ถูกยกออกไป พื้นระเบียงไม้ตรงที่กระถางต้นไม้เคยอยู่ มองเห็นเป็นพื้นไม้สีซีดวงใหญ่ ขัดกับภาพรวมระเบียงไม้ทั้งหมด ยิ่งเห็นร่องรอยนั้น กลายเป็นการซ้ำเติมเรียกคืนความทรงจำในอดีตให้พรั่งพรูมาใส่เข้าไปอีก

รอยพื้นซีดนั้น กลายเป็น “หลุมดำ” ในใจของฌอนอีกครั้ง จนเขาตัดสินใจจะทาสีทับเพื่อให้สีผิวไม้เรียบเนียนไปกับส่วนอื่นของระเบียง

Advertisement

นำมาสู่การที่เค้าตัดสินใจจ้างแรงงานชาวเม็กซิกันรายวันที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ อย่าง “เออร์เนสโต้” เข้ามารับงานทาสี ซ่อมแซมแก้ไขระเบียงไม้แห่งนี้

แต่ที่ไปไกลกว่านั้นคือ ฌอน มอบบทบาทช่างซ่อมความเหงาให้เออร์เนสโต้ไปโดยปริยาย โดยที่เจ้าตัวก็งุนงงว่า สรุปฌอนจ้างเขามาทำอะไรกันแน่ ด้วยราคาค่าจ้างวันละ 200 เหรียญสหรัฐ แต่เขาไม่ได้ทาสีระเบียงเลยสักที

Advertisement

“ฌอน” ชวน “เออร์เนสโต้” ไปพายเรือให้เขานั่งหลับ บางวันก็ชวนไปเป็นเพื่อนเดินขึ้นเขา กระทั่งถึงกับชวนไปงานปาร์ตี้กลุ่มเพื่อนชุมนุมเกย์ด้วยกัน และลงเอยที่ฌอน เริ่มมองเออร์เนสโต้เหมือนภาพแทนชีวิตรักเก่าของเขาขึ้นมา จนที่สุดเออร์เนสโต้ก็สัมผัสได้ว่า นี่คือหนทางหลบเลี่ยงความโศกเศร้าของฌอนนั่นเอง

“Papi Churo” เล่าความสัมพันธ์และมิตรภาพอันแปลกประหลาดท่ามกลางข้อจำกัดด้านภาษา และวัฒนธรรม เรื่อยไปจนถึงความแตกต่างด้านชนชั้น อาชีพ วิถีชีวิต และช่วงวัยที่ห่างกันเป็นสิบๆ ปี แต่ทั้งหมดดูจะไม่ใช่อุปสรรคของมิตรภาพที่ดูจะมีความเฉพาะเจาะจงมากเหลือเกินของคนคู่นี้

ตัวหนังดูได้เรื่อยๆ ไม่น่าเบื่อ ประคับประคองด้วยการมีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ เพียงแต่ยังเชื่อมอารมณ์ได้ไม่สุดทำให้คะแนนวิจารณ์คนดูออกมากลางๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นระดับโครงสร้างเรื่อง “ชนชั้น” ที่ถ้าเล่าได้ลงลึกก็อาจจะเปลี่ยนโทนหนังไปได้เลย แต่หนังก็เลือกแตะประเด็นนี้อย่างเบาบาง พอให้เราเข้าใจสถานการณ์ เมื่อ “ฌอน” หนุ่มอเมริกันผิวขาวหน้าตาดี มีอาชีพที่สร้างชื่อเสียง มีบ้านอยู่บนเขา (ในลอสแองเจลิสบรรดาผู้มีฐานะมักจะซื้อบ้านพักอยู่บนเขา) พา “เออร์เนสโต้” ชายเม็กซิกันที่อพยพเข้าเมืองมาทำงานใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ เข้ามาสัมผัสชีวิตชนชั้นกลางค่อนบนของเขา ซึ่งมีเวลาว่างอันเหลือเฟือในการทำกิจกรรมผ่อนคลายที่ดูไร้สาระสำหรับแรงงานที่ต้องหารายได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง

โครงเรื่องของ “Papi Churo” ที่แม้จะดีงาม มีกลิ่นอายของหนังออสการ์อย่าง “Green Book” ที่พูดถึงมิตรภาพของคนขับรถผิวขาวกับเจ้านายนักดนตรีผิวสีที่เป็นเกย์ แต่ความที่หนัง “Papi Churo” พยายามแตะหลายประเด็นแบบคลุมๆ เกินไป ทั้งเรื่อง “ชนชั้น” “มิตรภาพ” “เพศที่สาม” ผสมกันจนทำให้การเล่าเรื่องความแตกต่างทางชนชั้นในเมืองใหญ่อย่างลอสแองเจลิสถูกลดทอนลงไป ส่วนเรื่องมิตรภาพยังไม่ถึงขนาดสร้างความรู้สึกละมุนละไมได้มากนัก เพราะผู้กำกับเลือกจะถ่ายทอดออกมาแบบหนังคอมเมดี้จนกลบความจริงจังของตัวละครในบางช่วง

ขณะที่อีกส่วนสำคัญที่หนังพูดไว้อย่างชัดเจน และอาจจะเป็นจุดขายสำคัญของหนังคือ เรื่องราวความรัก ความเศร้า และความเหงาของเพศที่สามผ่านตัวละคร “ฌอน” ที่ประสบภาวะยังรับมือกับความสูญเสียไม่ได้จนชีวิตเสียศูนย์ ประกอบด้วยคาแร็กเตอร์หนุ่มเกย์ผู้อ่อนไหว และมีความเหงาที่ยากจะสื่อสารออกมา จนเคลิ้มคิดว่า “เออร์เนสโต้” คือตัวแทนของความรักในอดีต

กว่าที่เขาจะยอมรับและเผชิญหน้ากับความจริงของการสูญเสีย และกล้าแสดงความรู้สึกนั้นออกมาอย่างเต็มที่ก็ทำเอาวุ่นวายอลเวง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะเริ่มเข้าใจ และพร้อมสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้อย่างปกติ

สุดท้ายความสัมพันธ์และมิตรภาพของ “เออร์เนสโต้” กับ “ฌอน” ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ แต่เป็นแรงดึงดูดทางใจระหว่างชายสองคนที่แตกต่างกันอย่างมากในทุกมิติ แต่กลับได้สร้างความโอบอ้อมอารี ความเห็นอกเห็นใจกันในแบบเพื่อนมนุษย์ที่มอบให้แก่กัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image